นักวิชาการ การสื่อสารชี้ ข่าวความขัดแย้งไม่ใช่ข่าวกีฬา มุ่งผลแพ้ – ชนะ 

การสื่อสารในภาวะขัดแย้งไทย-กัมพูชา สื่อควรมีบทบาท สื่อสารเพื่อไม่ให้ข้ามเส้นสู่ความรุนแรง เสนอข้อเท็จจริงต่อเนื่อง ทันท่วงที และเพื่อสันติภาพ

จากกรณีเหตุปะทะกันของไทยและกัมพูชา ที่เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นทุกวันไม่ใช่เพียงเรื่องของการยกระดับการใช้อาวุธ แต่รวมถึงการฟาดฟันกันของข้อมูลบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงและถูกสร้างขึ้นจาก AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ทั้งจากประชาชนผู้ใช้สังคมออนไลน์หรือกระทั่งบางสำนักข่าว ซึ่งพบว่า ข้อมูลที่สื่อสารอาจกำลังนำไปสู่การเพิ่มความขัดแย้งที่มีต่อกัน 

นอกจากการรายงานข่าวในภาวะของความขัดแย้งแล้ว สิ่งที่สังคมตั้งคำถามคือ บทบาทของสื่อมวลชนควรเป็นอย่างไร บทบาทของสื่อมวลชนนอกจากการรายงานข้อเท็จจริงแล้ว ควรสื่อสารประเด็นอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้นจากข้อเท็จจริง

The Active ได้หยิบประเด็นนี้ไปคุยกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมัชชา นิลปัทม์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาการสื่อสารสันติภาพ  คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่มีสถานการณ์การปะทะ พบว่า ทิศทางการสื่อสารไม่ครอบคลุม พื้นที่ของการสื่อสาร จากฝ่ายรัฐน้อยแต่ในทางกลับกันพบว่าการสื่อสารจากสื่อมวลชน และอินฟลูเอนเซอร์ หรือ ภาคประชาชนเยอะกว่า 

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เห็นช่องว่างของการสื่อสารในภาวะความขัดแย้งแบบนี้ เนื่องจากว่าภาวะแบบนี้การสื่อสารควรจะมีการจัดการบางอย่างโดยเฉพาะการสื่อสารที่เป็นทางการจากรัฐ 

“สื่อที่เป็นเสียงจากฝั่งของกัมพูชา การมอนิเตอร์จากฝั่งโน้นเราจะไม่ค่อยเห็น แต่ส่วนใหญ่เราจะเห็นลักษณะการสื่อสารจากอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งมันก็จะมีลักษณะซ้ำ ๆ หลายคนก็พยายามวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันเป็นแนวที่ดูใหญ่กว่าฝั่งเราในการสื่อสารกับประชากรโลก อันนี้เป็นสมดุลของข่าวสารที่ดูไม่ค่อยสมดุล”

ผศ.สมัชชา นิลปัทม์

ผศ.สมัชชา นิลปัทม์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาการสื่อสารสันติภาพ คณะวิทยาการสื่อสาร มอ.ปัตตานี

การสื่อสารในภาวะความขัดแย้ง มีผลต่อการรับรู้ของคนในสังคมซึ่งมันจะทำให้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ มันบิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งภายใต้สถานการณ์เวลามีความขัดแย้ง มักจะมีวาทะคลาสสิกที่เขาบอกว่า วันที่เสียงปืนแตกหรือพอเกิดสงครามขึ้นจำเลยแรกที่เกิดขึ้นคือความจริง 

พอเข้าสู่ลักษณะแบบนี้โอกาสที่เราจะเข้าใจหรือเห็นความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา ค่อนข้างมีความยากกว่าปกติ  ส่วนประเด็นการสื่อสารในภาวะความขัดแย้งครั้งนี้การสื่อสารเพื่อสร้างและส่งเสริมความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติในภาวะความขัดแย้งก็สำคัญ เนื่องจากเราเป็นสมาชิกเป็นพลเมืองของชาติ แต่ในฐานะของคนที่เป็นนักเรียนสื่อและนักเรียนการสื่อสารด้านหนึ่งต้องรักษาอุดมคติของ “มนุษย์นิยม” และ “มนุษยธรรม” ไว้ด้วย

“ความขัดแย้งการทะเลาะกับเพื่อนบ้านไม่สนุกนี่ไม่ได้บอกว่าโลกสวยว่าเราจะขัดแย้งกันไม่ได้แต่มันต้องรักษาระดับไม่ให้ข้ามเส้นไปสู่การใช้ความรุนแรงวิธีการต่าง ๆ นอกเหนือจากความสะใจด้วยการใช้กำลังมันต้องรีบเปลี่ยนกลับมาใช้แนวทางการทูตให้เร็ว”

ผศ.สมัชชา นิลปัทม์

หากมองในเรื่องของบทบาทการทำงานของสื่อมวลชนอาจบอกได้ว่าสื่อมวลชนไม่เท่ากับ Professional เพราะความเป็นมืออาชีพไม่ได้อยู่ที่ว่าเราอยู่สังกัดไหน แต่อยู่ที่การปฏิบัติ 

ผศ.สมัชชา กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งความท้าทายต่อคนทำงานสื่อโลกปัจจุบัน คือ จะหาทางออกแบบไหนดีให้มาปรากฏในข่าว จะไปหามาได้จากไหน แต่ที่แน่  ๆ สังคมต้องการทางเลือกทางออกใหม่ ๆ การหาฉันทามติของสังคมมากกว่าที่สื่อโมเมสร้างขึ้นมาเอง รวมไปถึงการสร้างสมดุลทางอำนาจโดยเฉพาะจากคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคมให้ปรากฏในข่าว 

“ความเร็วคงไม่ใช่เรื่องการแข่งว่าใครเร็วกว่ากันแต่คิดว่ามันเป็นจังหวะที่ทันท่วงทีมากกว่า รวมถึงสามารถอธิบายได้ว่าในแต่ละวันมีอะไรเกิดขึ้นในแต่ละช่วง เราน่าจะเปรียบเทียบกับภาวะวิกฤตอื่น ๆ ที่เราเคยผ่านมา อย่างภาวะโรคระบาด แต่ละวันวงรอบของการชี้แจงซึ่งผมคิดว่าเราน่าจะอยากฟังว่าแต่ละวันรัฐบาลมีแผนอะไรบ้างมีความคืบหน้าอะไรบ้าง เราจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้อย่างไร รวมไปถึงเราที่ไม่ได้อยู่หน้างานเราจะวางตัวอย่างไรต่อสถานการณ์แบบนี้เพื่อไม่ให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันแย่ไปกว่าเดิม” 

ผศ.สมัชชา นิลปัทม์

ขณะเดียวกันในยุคที่การจัดระเบียบสังคมยังไม่ยุติปัญหาของสื่อที่มีฐานคิดแบบเสรีนิยมสื่อควบคุมได้ยาก อาจต้องวางอยู่บนแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้สื่อต้องตระหนักเสมอว่าข่าวความขัดแย้งไม่ใช่ข่าวกีฬาที่มุ่งไปที่ผลแพ้ชนะ 

“ความสำคัญของสื่อในภาวะปกติการหาข้อเท็จจริงหรือความจริงก็ยากอยู่แล้วแต่ในสภาวะความขัดแย้งแบบนี้การหาความจริงก็ยิ่งยากขึ้นอีก ในทางอุดมคติของการทำงานสื่อ คือ จะทำอย่างไรให้เข้าไปใกล้กับความจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ผศ.สมัชชา นิลปัทม์

อีกทั้งต้องตระหนักได้ว่าบทบาท อำนาจการสื่อสารมีผลต่อความรุนแรงอย่างไร อาจต้องคำนึงถึงว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะไม่ไปเพิ่มอุณหภูมิหรือขยายความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เพราะเราไม่อาจประมาณการได้ว่ามันจะก่อให้เกิดผลกระทบจากการรายงานข่าวของเราอย่างไร

พร้อมย้ำว่า การรายงานในภาวะความขัดแย้งนี้อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วหรือช้า แต่ควรจะสื่อสารอย่างสม่ำเสมอทันท่วงทีและมีข้อมูลที่ทำให้ประชาชนสามารถตัดสินใจได้ 

“คุณยังรักชาติอยู่แหละแต่คุณก็ต้องหาข้อมูลอีกฝ่ายด้วย ผมชอบโควตของ ลองเฟลโล กวีชาวอเมริกันว่า หากคุณสามารถล่วงรู้ถึงประวัติศาสตร์อันเร้นลับของศัตรูของเรา เราจะพบว่าในชีวิตของแต่ละคนมันมีความเศร้าโศกและเจ็บปวดมากพอที่จะทำให้เราคลายความเป็นปฏิปักษ์ลงได้

ผศ.สมัชชา นิลปัทม์

ทั้งนี้ ผศ.สมัชชา ยังระบุด้วยว่า ในภาวะความขัดแย้งตอนนี้ ยังไม่พบสื่อแบบทางการ (Official) ยังไม่มี แนะสิ่งนี้ต้องมีก่อน รวมไปถึง ประชาสังคมสื่ออิสระ ต้องเร่งจับมือรวมกลุ่มกันสร้างข้อตกลงกันเองประกาศหาแนวปฏิบัติออกให้ชัดเจนว่าจะมีจุดยืนหรือท่าทีอย่างไรเพื่อให้ผู้รับสารมีทางเลือกในภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งนี้การรวมกลุ่มยังมีผลต่อเนื่อง หากเกิดการควบคุมการสื่อสารขึ้นมากจริง ๆ ขณะนั้นการรวมกลุ่มยังพอต่อรองกันได้ 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active