ที่ประชุมสภาฯ โหวตผ่านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ด้วยมติเห็นชอบ 421 เสียง เดินหน้าสู่การบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม ส่งเสริมศักยภาพ และ สร้างความเสมอภาค ให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ และชนเผ่าพื้นเมือง
วันนี้ (6 ส.ค. 68) ตั้งแต่เวลาประมาณ 10.45 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ซึ่งเลื่อนขึ้นมาประชุมตามที่ที่ประชุมเห็นชอบเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม และได้ส่งคืนสภาผู้แทนราษฏรเพื่อพิจารณาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปี 2562 ข้อ 137
ทั้งนี้ ภายหลังที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเห็นชอบผ่านวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ให้แก้ไขเพิ่มเติม 22 มาตรา เช่น นิยามชาติพันธุ์ เปลี่ยน คำว่า “กลุ่มคน” เป็น “ชาวไทย” หรือ “ชาวไทยชาติพันธุ์”
หมวด 5 มาตรา 37, 38, 39 “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” เดินหน้าจัดการทรัพยากรร่วม แต่ต้องไม่กระทบ หรืออยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.อุทยานฯ, โดยแก้ไขคำว่า “ธรรมนูญ” เป็น “ข้อกำหนด”
นี่จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ สส.หลายคนลุกขึ้นอภิปราย เริ่มต้นจาก มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ สัดส่วนชาติพันธุ์ พรรคประชาชน กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทุกพรรคการเมือง รวมถึงภาคประชาชนที่ร่วมขับเคลื่อนกฎหมายนี้ ซึ่งจะถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญหากอนุมัติกฎหมายผ่าน โดยตัวตนพี่น้องชาติพันธุ์จะถูกบันทึกในกฎหมาย ผลการพิจารณากฎหมายโดยรวม ต้องยอมรับมีการผลักดันหลายภาคส่วน อาจมีการปรับบางคำ แต่ถือว่ายอมรับได้โดยยังคงสิทธิพื้นฐานที่ชาติพันธุ์พึงมี และสามารถเข้าถึง ที่สำคัญคือกลไกคณะกรรมการที่มีนายกฯ มีหน่วยงานต่าง ๆ มีภาคประชาชนเข้ามาเป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมออกแบบนโยบายคุ้มครองส่งเสริมกลุ่มชาติพันธุ์
ขณะที่ ธีระชัย แสนแก้ว สส.พรรคเพื่อไทย จ.อุดรธานี เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฯ สส. และยอมรับในร่างที่ผ่าน สว. เห็นด้วยที่จะมีกฎหมายนี้เพื่อส่งเสริมคุ้มครองศักยภาพวิถีชีวิตชาติพันธุ์ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ทั้งนี้ภายหลังพิจารณา ที่ประชุมสภาฯ ซึ่งมีผู้แสดงตนเข้าร่วมประชุม 425 เสียง ลงมติให้ความเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมของ สว. ทั้งสิ้น 421 เสียง ผ่านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์
สำหรับ กฎหมายชาติพันธุ์นั้น มีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม, ส่งเสริมศักยภาพ และ สร้างความเสมอภาค ประกอบด้วยสาระสำคัญ 5 ประเด็นหลัก คือ
- วางหลักการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์
- มีกลไกการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
- การจัดตั้งสภากลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย
- จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อกำหนดนโยบายด้านชาติพันธุ์
- จัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
กฎหมายฉบับนี้ โดยบทบัญญัติในบททั่วไป มาตรา 5 ถึง มาตรา 12 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นหัวใจของกฎหมาย ที่ต้องได้รับการคุ้มครองและส่งเสริม
โดยเฉพาะ มาตรา 9 ที่กำหนดให้ “กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน” โดยในมาตรา 9 (4) ระบุถึง สิทธิในการปกป้องและได้รับการคุ้มครองจากการกระทำใด ๆ ที่จะทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องถูกพรากจากที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรธรรมชาติ และที่อยู่อาศัยของตน โดยปราศจากการรับรู้และยินยอมล่วงหน้า เพื่อการใช้สิทธิโต้แย้งทางกฎหมายอย่างอิสระ สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจะจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม และสิทธิในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว
นักวิชาการ และนักกฎหมายต่างเชื่อว่า มาตรานี้จะเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไปในอนาคตได้แน่นอน
สำหรับความคืบหน้าของการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกฎหมายนี้ หลังผ่านการพิจารณาของสภาฯ สู่การบังคับใช้นั้น
อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ตัวแทนองค์กรภาครัฐ ภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ย้ำกับ The Active ว่า กฎหมายนี้จะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากที่เคยต่างคนต่างทำ ให้ร่วมหนุนเสริมให้กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงสิทธิต่าง ๆ เช่น การศึกษา, การเข้าถึงการรักษาพยาบาล, การดำรงวิถีวัฒนธรรม, สิทธิส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร

ที่สำคัญยังมีกลไก สภาคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ข้อเสนอการแก้ไขปัญหา ไปพร้อมกับการหนุนเสริมกลุ่มชาติพันธุ์สู่ระดับนโยบาย ภายใต้คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รวมถึงมีตัวแทนกระทรวง หน่วยงาน และภาคประชาชน
นอกจากนี้ยังมีทางเลือกในการแก้ปัญหาที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เช่น ข้อพิพาทที่ดิน ด้วยกลไก “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้มีส่วนร่วมดูแลจัดการทรัพยากรบนฐานองค์ความรู้ภูมิปัญญาศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์
“เมื่อเกิดการโอบรับความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ หนุนเสริมคุ้มครองพวกเขา สิ่งนี้จะเป็นพลังสำคัญต่อส่วนร่วมพัฒนาประเทศ ซึ่งกฎหมายนี้ จะไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มชาติพันธุ์ แต่จะเป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวม ใน 3 มิติสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความมั่นคงที่มีเสถียรภาพของประเทศ”
อภินันท์ ธรรมเสนา
ขณะเดียวกัน อภินันท์ ยังย้ำถึง มิติด้านเศรษฐกิจ เพราะต้นทุนวิถีวัฒนธรรมที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ จะทำให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ส่วนมิติสุดท้าย คือ ส่วนร่วมจัดการดูแลทรัพยากรที่เป็นความมั่นคงแท้จริง เพราะกลุ่มชาติพันธุ์มีองค์ความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยในระดับนานาชาติ แผนเรื่องการจัดการชีวภาพ มีการพูดถึงการกลับไปหาภูมิปัญญาชาติพันธุ์ เพื่อใช้ภูมิปัญญานั้นในการรักษาสภาพแวดล้อมของโลกนี้ไว้ เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นกลยุทธ์ เป็นสมบัติ เป็นความรู้ ที่รัฐไทยหรือประชาชนไทยมีอยู่แล้ว เพียงแต่จะดึงมาใช้ประโยชน์ในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน
ขณะที่ความคืบหน้าของการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกฎหมายนี้ หลังผ่านการพิจารณาของสภาฯ สู่การบังคับใช้ อย่างการทำฐานข้อมูลชาติพันธุ์ และจัดทำกฎกระทรวง ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 11 ฉบับ ได้ได้วางแผนและเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม และภาคประชาชน ที่ตื่นตัวมีส่วนร่วมในการจัดทำข้อเสนอ เพื่อให้กฎหมายนี้ตอบโจทย์ในการคุ้มครองและส่งเสริมกลุ่มชาติพันธุ์