Learn Next Sustainable City เปิดพื้นที่ให้ครู ชุมชน รัฐ ท้องถิ่น ร่วมออกแบบการเรียนรู้ บนฐานทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น ชูเป้าหมายปั้นเด็กดีรอบด้าน (เด็กตงห่อ) มุ่งสู่การพัฒนาภูเก็ต “House of Talent”
ภูเก็ตเคยรุ่งเรืองใน “ยุคเหมืองแร่” และเติบโตใน “ยุคท่องเที่ยว”… แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ เมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็เริ่มเผชิญกับความไม่แน่นอน สะท้อนให้เห็นว่าการพึ่งพาอย่างใดอย่างเดียวอาจไม่ยั่งยืน
คนภูเก็ตจึงเริ่มเห็นความสำคัญในการปรับยุทธศาสตร์และทิศทางการพัฒนาเมืองแบบผสมผสาน ซึ่งงาน Learn Next Sustainable City การศึกษาและทุนมนุษย์ ข้ามเส้นสู่เมืองยั่งยืน ‘ครูต้นแบบ’ พลิกห้องเรียน เปลี่ยนการสอน ด้วยพลังของวัฒนธรรม ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา ณ Sound Gallery House และพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต
ถือเป็นพื้นที่เชื่อมร้อยสำคัญที่ทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาร่วมกันออกแบบการพัฒนาการศึกษา และกำหนดทิศทางการพัฒนาคน ที่จะนำไปสู่การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
“การศึกษาพัฒนาคน และคนจะไปพัฒนาเมือง”
นี่คือเหตุผลสำคัญของงานที่เกิดขึ้นเพื่ออธิบายว่าทำไม ? การพัฒนาเมือง ถึงต้องเริ่มที่การพัฒนาคน และทุนมนุษย์สำคัญอย่างไร ?

พัฒนาการศึกษาบนฐานทางวัฒนธรรม
ช่วงหนึ่งของงาน ในวง “Teach Talk” พูดคุยเพื่อต่อยอดทุนวัฒนธรรม สู่คุณค่าแห่งการเรียนรู้ เพื่อการดำรงอยู่ของทุนมนุษย์ โดยมีครูที่สมัครเข้าร่วมโครงการ “ครูต้นแบบ” รับฟังการถ่ายทอดประวัติศาสตร์การพัฒนาเมืองภูเก็ต ผ่านต้นทุน 4 ด้าน ได้แก่ อาคาร อาหาร อาภรณ์ และ อารมณ์
ด้าน อาคาร โดย ศิลป์ชัย ปังประเสริฐกุล สถาปนิก ผ่านมิติของคุณค่าด้านสถาปัตยกรรมของชุมชน, อาหาร มี สัจจ หงษ์หยก เจ้าของบ้านรุ่นที่ 4 ตระกูลหงษ์หยก บ้านไม้ขาว และร้านโต๊ะแดง (บ้านอาจ้อ) จังหวัดภูเก็ต ส่วน อาภรณ์ มี ครูฤดี ภูมิภูถาวร ที่ปรึกษามิวเซียมภูเก็ต ผ่านหลักสูตรประวัติศาสตร์ชุมชน และการแต่งกายของชาวภูเก็ต
ขณะที่ อัญชลี วานิช เทพบุตร นายกสมาคมศิลป์ภูเก็ต ที่เชื่อมร้อยทุกมิติ สู่ อารมณ์ หรือการทำงานกับศิลปะ ระบุว่า หนึ่งในพื้นที่การเชื่อมทุนทางวัฒนธรรม สู่โอกาสการพัฒนาเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ภูเก็ตในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า คือ การที่เด็กและเยาวชนจะได้พบกับศิลปินระดับโลกในการจัดงาน “Thailand Biennale 2025”
นับได้ว่าเป็นการขับเคลื่อนเมืองจากโอลทาวน์ ด้วยขาของวัฒนธรรม สู่อาร์ตคอมมูนิตี้ ซึ่งการขับเคลื่อนงานอาร์ตระดับโลกจะไม่สามารถสำเร็จได้ ถ้าหากไม่ได้ความร่วมมือจากคนพื้นที่ รวมถึงภาคการศึกษาที่จะมีส่วนสำคัญในการต่อยอดและนำไปพัฒนาเมืองได้อย่างยั่งยืน
อัญชลี ยังบอกอีกว่า การจะสื่อสารว่าเนื้อหาที่ได้จากทั้ง 4 อา จะนำไปสู่การเรียนรู้ โดยรูปธรรมหนึ่ง คือ สิ่งที่จะเผยให้เห็นในงาน “Thailand Biennale 2025” ภูเก็ตตลอด 5 เดือนนับจากนี้ แต่โจทย์สำคัญที่จะพัฒนาต่อได้ คือ โรงเรียนและสถาบันการศึกษาจะสามารถใช้ต้นทุนเหล่านี้กลับเข้าไปสู่หลักสูตรในห้องเรียนได้อย่างไร
“เมื่อโอลิมปิกโลกในด้านศิลปะมาเกิดที่ภูเก็ตแล้ว จะทำอย่างไรให้นักเรียนด้านศิลปะ รวมถึงผู้ที่สนใจมาใช้ต้นทุนจากตรงนี้ไปพัฒนา ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ได้”
อัญชลี วานิช เทพบุตร


ข้อเสนอปิดช่องโหว่ ปั้น ‘เด็กตงห่อ’ พัฒนาเมืองภูเก็ต
ขณะที่ Policy Forum “Learn Next : Sustainable Phuket สร้างคน พัฒนาเมือง” เป็นอีกมิติหนึ่งของการพูดคุยภายในงาน ที่ได้ชวนคนจากหลากหลายภาคส่วนทั้งจากภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน และภาควิชาการ ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อดึงเอาศักยภาพและความพร้อมที่คนภูเก็ตมีอยู่ มากำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษาและความยั่งยืนของเมือง
ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน จังหวัดภูเก็ต ชี้ว่าที่ผ่านมาภูเก็ตเปลี่ยนตัวเองจากการเป็น แหล่งเหมืองแร่ดีบุก ไปสู่ การท่องเที่ยว และวันนี้เมื่อภูเก็ตเจอความไม่แน่นอน ทั้งจากสภาพภูมิอากาศ หรือสถานการณ์โรคระบาดอย่างโควิด จึงคิดที่จะทรานฟอร์มจังหวัดไปสู่การใช้ 7 มิติยุทธศาสตร์
“เป้าหมายคือภูเก็ตจะต้องเป็น House of Talent คือเป็นเมืองแห่งความสุข และแหล่งรวมคนที่มีพรสวรรค์ มาอยู่ร่วมกัน เพื่อสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งรวมถึงเด็กภูเก็ตด้วย ที่เราจะต้องสามารถทำให้พวกเขาเลือกที่จะออกไปศึกษาหาความรู้ และอยากกลับมาทำงาน กลับมาอยู่อาศัยในบ้านเกิด”
ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม

ภูเก็ตมีต้นทุนที่ดีในแง่ของความเข้มแข็งของท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาสังคม รวมถึงการได้รับจัดตั้งให้เป็น พื้นที่ต้นแบบทางนวัตกรรมการศึกษา ที่ทำให้ภูเก็ตกลายเป็นแซนด์บ็อกซ์ที่มีสิทธิในการจัดการตัวเอง
พรรณา พรหมวิเชียร ศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ต และ ผศ.ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เปิดเผยว่า ภูเก็ตมีจุดแข็งคือมีโรงเรียนนำร่องในพื้นที่นวัตกรรมฯ ถึง 87 แห่ง ที่มีอิสระในการทำ “หลักสูตรตามบริบทของตนเอง” และการสร้างกรอบของการพัฒนาศักยภาพของเด็กภูเก็ต ที่ชัดเจนว่าต้องเป็น เด็กตงห่อ (เด็กดีรอบด้าน) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในพัฒนาทุนมนุษย์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของเมือง
ขณะเดียวกัน ศาสวัต หลิมพานิชย์ รองประธานหอการค้าภูเก็ต ยังได้ยกตัวอย่างความร่วมมือของคนภูเก็ตที่สามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่มีงบประมาณเป็นข้อจำกัด โดยเฉพาะการทำโครงการพัฒนาด้านการศึกษาที่ต่อยอดไปถึงศิลปะ ดนตรี และข้อเสนอเรื่อง “การเทียบโอนเกรด” ซึ่งภูเก็ตเป็นจังหวัดแรก ๆ ที่ทำได้
แต่ก็ยังมีความท้าทายเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” ที่มีโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้น ปัจจุบันเป็น 19 แห่ง ขณะที่โรงเรียนในสังกัดท้องถิ่นและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ยังมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการศึกษา
อีกทั้งยังต้อง สร้างความเชื่อมั่นให้กับครู ว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขายังเชื่อมั่นหากผลการสอบวัดประเมินผลในระดับประเทศหรือระดับสากลอาจยังน้อย เพราะการปรับหลักสูตรอาจสอดคล้องกับพื้นที่ แต่ไม่สอดคล้องการประเมินผลโดยทั่วไป
ขณะที่ เรวัต อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้แสดงความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการศึกษาบ่อยครั้งเมื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ทำให้การพัฒนาหยุดชะงัก จึงอยากให้มี “พิมพ์เขียว” ของภาคการศึกษาที่ไม่เปลี่ยนตามรัฐบาล
เพิ่มเกียรติ เกษกุล ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดภูเก็ต และ ภูมิกิตติ์ จึงอยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กล้าคิด และ กล้าทำ ใน 4 เรื่อง คือ
- เปลี่ยนมาตรวัดการประเมินผล ต้องไม่ได้มาจากส่วนกลาง
- ครูต้องมีภารกิจสอนหนังสืออย่างแท้จริง และมีรายได้ที่เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทพื้นที่
- ข้อมูลต้องเชื่อมโยงกันได้ ทลายกำแพงสังกัด ให้ทุกภาคส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแท้จริง
- ลดความเหลื่อมล้ำ
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้จะทำได้ถ้ามีองค์ประกอบครบ “3D” คือ Data แชร์ข้อมูลระหว่างกัน, Digital นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ และ Decentralization มอบหมายให้ผู้ที่เหมาะสมในการพัฒนาด้านการศึกษานั่งเป็นประธาน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือศึกษาธิการจังหวัด
ทั้งนี้ ศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปทิ้งท้ายว่า หากทุกภาคส่วนเข้าใจเป้าหมายร่วมกัน และทำงานร่วมกันอย่างทุ่มเท ภูเก็ตเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ซึ่งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดจะต้องถอดบทเรียนครั้งนี้ แล้วภูเก็ตจะเป็นเมืองแห่งความสุขและเป็นหัวจรวดด้านการศึกษา

