‘ศาลปกครองสูงสุด’ รับอุทธรณ์คดีโรงเรียนเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษา ชี้ ผู้ปกครองมีสิทธิฟ้องสถานศึกษาหากเก็บเงินซ้ำซ้อน ‘สภาองค์กรของผู้บริโภค’ ย้ำ คำสั่งศาลฯ เป็นก้าวสำคัญ ยืนยันสิทธิของผู้ปกครอง เด็ก วอน สถานศึกษาของรัฐ คำนึงถึงการพัฒนาเด็ก ที่ต้องได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี ตามรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (18 พ.ย. 68) ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาในคดีฟ้องร้องต่อกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษา หลังสภาผู้บริโภคยื่นฟ้องด้วยเหตุละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ขัดแย้งนโยบายเรียนฟรีของรัฐบาล
โดยก่อนหน้านี้ทาง สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ยื่นข้อเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการยกเลิกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษา การยกเลิกจะส่งผลให้เด็กทุกคนได้รับสิทธิในการได้รับการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560

การต่อสู้ทางกฎหมายที่ใช้เวลานานกว่า 1 ปี คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 สภาผู้บริโภคพร้อมด้วยอนุกรรมการด้านการศึกษา ทนายความ และผู้เสียหาย ได้ร่วมกันฟ้องร้องกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้ยุติการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบจากการเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดแย้งกับหลักการเรียนฟรีที่รัฐประกาศไว้ และส่งผลให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระเกินกำลัง อีกทั้งยังเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคที่ควรจะได้รับการศึกษาฟรีตามรัฐธรรมนูญ
แม้ในการยื่นฟ้องครั้งแรก ศาลปกครองกลางจะปฏิเสธคำฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ยื่นฟ้องเกินกำหนดระยะเวลา แต่ทนายความได้ยื่นขอขยายเวลาอุทธรณ์ถึง 2 ครั้ง และในที่สุดศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งรับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 ล่าสุดวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ศาลปกครองสูงสุด ยืนยัน ผู้ปกครองมีสิทธิฟ้องสถานศึกษา กรณีเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษา
เก็บ ‘ค่าบำรุงการศึกษา’ ซ้ำซ้อน
อาจกระทบสิทธิเรียนฟรีตามรัฐธรรมนูญ
ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล ประธานอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองที่ถูกเรียกเก็บค่าบริการการศึกษา และได้รวบรวมกรณีตัวอย่างจาก 3 เคสเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ซึ่งขณะนี้มี 1 ใน 3 เคสที่ศาลปกครองสูงสุดรับคำอุทธรณ์ และสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นเรียกสถานศึกษาที่เรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาเข้าชี้แจงต่อศาล ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญ เพราะเป็นการยืนยันว่าผู้ปกครองในฐานะผู้บริโภคบริการสาธารณะมีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลได้
ผศ.อรรถพล ยังระบุว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามเคลื่อนไหวผลักดันประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้บางเคสหมดเวลาฟ้องร้องไปแล้ว เนื่องจากผู้ปกครองได้จ่ายค่าบำรุงการศึกษาไปตั้งแต่ปี 2565-2566 อย่างไรก็ตาม สำหรับเคสที่เกิดขึ้นในปี 2566-2567 ยังสามารถดำเนินคดีได้ การที่ศาลรับคำอุทธรณ์ครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณสำคัญต่อสถานศึกษา ว่าผู้ปกครองมีสิทธิสอบถามและคัดค้านการเรียกเก็บเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะในหลักสูตรทั่วไปของสถานศึกษาของรัฐ
สำหรับประกาศกระทรวงศึกษาธิการปี 2554 ระบุชัดเจนว่า มี 22 หมวดค่าใช้จ่ายที่โรงเรียนไม่สามารถเรียกเก็บได้ แต่ยังมีโรงเรียนจำนวนมากเก็บเงินซ้ำซ้อนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นภารกิจที่สภาผู้บริโภคต้องเร่งสื่อสารให้ผู้ปกครองทราบสิทธิ ว่าเงินที่โรงเรียนขอเรียกเก็บนั้นซ้ำกับงบประมาณรายหัวที่รัฐจัดสรรไว้หรือไม่ การรู้สิทธิของผู้ปกครองจะช่วยปกป้องสิทธิของเด็กและลดภาระที่ไม่ควรเกิดขึ้น
พร้อมย้ำว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 54 ระบุชัดว่า การศึกษาภาคบังคับ 12 ปี และก่อนวัยเรียน 3 ปี รวม 15 ปี ต้องเป็นการศึกษา ที่รัฐจัดให้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่ประกาศกระทรวงปี 2554 กลับเปิดช่องให้สถานศึกษาบางแห่งเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษา ซึ่งขัดกับกฎหมายสูงสุดของประเทศ ประเด็นนี้จะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องผลักดันให้มีการทบทวน เพื่อกำหนดขอบเขตนิยามของ ‘เงินบำรุงการศึกษา’ ให้ชัดเจนว่าเก็บได้แค่ไหน และประกาศปี 2554 ยังชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
“รัฐธรรมนูญมาตรา 54 กำหนดชัดว่ารัฐต้องจัดการศึกษาให้เปล่า 15 ปี แต่ประกาศกระทรวงปี 2554 ยังเปิดให้โรงเรียนเก็บค่าบำรุงอยู่ ซึ่งขัดกับกฎหมายสูงสุด นี่จึงเป็นโจทย์ที่ต้องทบทวนว่า ‘เงินบำรุงการศึกษา’ คืออะไร เก็บได้แค่ไหน และประกาศปี 2554 ยังชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”
ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล

โรงเรียนไม่ออกใบ ปพ.ให้เด็กที่ไม่จ่ายค่าบำรุงการศึกษา
อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมาย
ผศ.อรรถพล เน้นย้ำว่า เงินอุดหนุนรายหัวครอบคลุมหลายรายการ เช่น เครื่องแบบ หนังสือเรียน อุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งรัฐจัดสรรให้เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม ดังนั้นโรงเรียนไม่มีสิทธิเรียกเก็บในหมวดดังกล่าว แต่หลายโรงเรียนยังไม่เข้าใจขอบเขต ทำให้ผู้ปกครองไม่ทราบว่าตนเองสามารถปฏิเสธได้ เมื่อใกล้เปิดภาคเรียน โรงเรียนต้องระมัดระวังมากขึ้น
โดยเฉพาะ การนำ ค่าบำรุงการศึกษา ไปผูกกับการไม่ออกใบ ปพ. ให้เด็กที่จบการศึกษาแล้วแต่ไม่ได้จ่ายเงิน ซึ่งสภาฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นปัญหาที่ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน
สมชาย คุ้มพูล อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค กล่าวเสริมว่า คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่รับคำอุทธรณ์และให้สถานศึกษาเป็นคู่กรณี ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยยืนยันสิทธิของผู้ปกครองและเด็ก พร้อมขอให้สถานศึกษาของรัฐคำนึงถึงการพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี ตามรัฐธรรมนูญ
พร้อมยังระบุว่า มาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดว่า รัฐต้องจัดการศึกษาก่อนวัยเรียน 3 ปี และขั้นพื้นฐาน 12 ปี รวมเป็น 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย กระทรวงศึกษาธิการได้จัดสรรงบประมาณลงไปแล้ว แม้อาจมีปัญหาว่าไม่ทั่วถึง แต่หลักการสำคัญคือ เด็กทุกคนต้องได้เรียนฟรี หากเป็นจริงตามกฎหมาย จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเปิดโอกาสให้เด็กในต่างจังหวัดหรือพื้นที่ห่างไกลทั่ว 77 จังหวัดเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น
“ผมอยากวิงวอนสถานศึกษาของรัฐให้คำนึงถึงการพัฒนาเด็กและเยาวชน การศึกษาต้องฟรี 15 ปีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 54 เพราะหากจะพัฒนาชาติ เด็กต้องได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ และรัฐไม่ควรเรียกเก็บเงินใด ๆ จากผู้ปกครอง”
สมชาย คุ้มพูล
