เปิดวงเสวนา เนื่องในวันสันติภาพโลก ถกประเด็นท่ามกลางความขัดแย้ง อาเซียนจะร่วมสร้างสันติภาพอย่างไร ก้าวข้ามปัญหาชายแดน ความเกลียดชัง สงครามไซเบอร์ พร้อมข้อเสนอต่อรัฐบาลใส่ใจหลักมนุษยธรรม
วันนี้ (21 ก.ย. 2568) ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร คณะทำงานสันติภาพโลก เครือข่ายศิลปิน สถาบันสังคมประชาธิปไตย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) และสมาคมมิตรภาพไทย-เกาหลี จัดงานเสวนาเนื่องในวันสันติภาพโลก “ไทย-กัมพูชา-พม่า และอาเซียน เราจะร่วมสร้างสันติภาพได้อย่างไร”

เมธา มาสขาว ผู้ประสานงานคณะทำงานสันติภาพโลก เริ่มด้วยการเปิดประเด็นสถานการณ์ที่ไทยเผชิญอยู่อย่างกรณีข้อพิพาทกับกัมพูชา คณะทำงานสันติภาพฯ จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยและอาเซียน คือ
ปัญหาไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ และดูเหมือนเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้นำ และไทยอยู่ในสถานการณ์ที่การเปลี่ยนผู้นำจากการแทรกแซงจากต่างชาติด้วย อีกทั้งรัฐบาลไทยจะต้องตั้งคณะทำงานมาแก้ปัญหา ในเรื่องของไซเบอร์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ
การแก้ไขปัญหานี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากปัจจุบันสงครามความขัดแย้งไม่ใช่เพียงเรื่องอาวุธ แต่เป็นเรื่องของการโฆษณาชวนเชื่อ การใช้ปฏิบัติการข่าวสารต่าง ๆ ดังนั้น รัฐบาลไทยควรจะต้องตั้งรับอย่างเต็มที่ เพราะสงครามไซเบอร์สามารถแทรกแซงไปในทุกมิติ
คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะใช้นโยบายการต่างประเทศผลักดันให้ประเทศไทย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการทูตอย่างมีนัยสำคัญ ใช้การเมืองนำการทหาร ใช้การทูตไทยนำกองทัพโดยรัฐบาลพลเรือน โดยผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ นำไปสู่การเจรจามากกว่าการใช้กำลังการปะทะ ซึ่งในอนาคตเราจะเจอสงครามไซเบอร์แบบนี้เรื่อย ๆ จึงควรมีการตั้งทีมที่แข็งแรง ไม่ใช่การปล่อยให้แม่ทัพบางคนหรือทหารบางส่วนเท่านั้น ควรนำอย่างมียุทธศาสตร์ร่วมกัน
และสุดท้าย รัฐบาลไทยสามารถที่จะส่งเสริมบทบาทอาเซียน เป็นแกนกลางในการแก้ปัญหาในภูมิภาคทั้งเรื่องเมียนมา และกัมพูชา ต้องผลักดันให้การแก้ไขปัญหามากกว่านำไปสู่การขัดแย้ง
ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และประธานมูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า พูดถึงปัญหาความขัดแย้งในพม่า และอนาคตประชาธิปไตย ว่า ในสภาพการณ์ที่ตกอยู่ในความขัดแย้ง ประชากรโลกต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงนับตั้งแต่สงครามโลก 2 ครั้งที่ผ่านมา ความขัดแย้งในปัจจุบันตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งยูเครน รัสเซีย รวมถึงภูมิภาคเอเชียของเราเอง อาจมองว่าเป็นเรื่องของการเมือง ความเป็นชาตินิยม รัฐชาติ ซึ่งถูกอาศัยมาเป็นการรักษาผลประโยชน์ และการรักษาดินแดน
ตัวอย่างของ เมียนมา ที่มีความเป็นรัฐชาติ ประกอบด้วยชาติพันธุ์ 8 กลุ่ม ซึ่งมีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด เพราะความหลากหลายก็ทำให้เกิดปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถเกิดความปรองดองกันได้ และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ตั้งแต่การปลดแอกจากอังกฤษ จนปัญหาภายในเรื่องการปกครอง
การใช้ความรุนแรงนั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ต้องยอมรับว่าไทย-กัมพูชา ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้ ยังไงก็ยังคงเป็นเพื่อนบ้านกัน
จึงอยากเรียกร้องว่าปัญหาไทย-กัมพูชา ควรแก้ปัญหาอย่างสันติ มีการใช้มาตรการทางการทูตสื่อสารระหว่างประเทศ เสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชน เพื่อให้ระยะยาวประชาชนมีความเข้าใจ และสามารถอยู่ร่วมกันได้ หวังว่าอาเซียนจะเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ และนำปัญหาไปถกเถียงในที่ประชุมอาเซียนในเดือนตุลาคมนี้
ในหัวข้อนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลใหม่ ข้อเสนอเพื่อสันติภาพไทย-กัมพูชา และบทบาทอาเซียน โดย สมชาย หอมลออ ประธานมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) มองว่า ถ้ารัฐบาลชุดนี้หรือชุดไหนก็แล้วแต่อยากจะแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา โจทย์ใหญ่คือการทำทุกวิถีทางเพื่อนำไปสู่สันติวิธีให้ได้ ปัญหาคือว่าอะไรคือผลประโยชน์ของประเทศ และผลประโยชน์ต้องไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ต้องเป็นผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ
ในอนาคตอาจไม่ใช่ปัญหาเรื่องของระหว่างประเทศ แต่เป็นการถกเถียงกันเรื่องการพัฒนาประเทศ อย่างการเคลื่อนย้ายแรงงาน นอกจากนั้นการแก้ปัญหายังต้องยึดกรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ยังอธิบายได้ว่าเราปฏิบัติกฎหมายอยู่
การสร้างอาเซียนที่เป็นประชาคมหนึ่งเดียวนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก และต้องประชาคมของประชาชนด้วย นอกจากจะทำให้เป็นประชาคมที่แก้ปัญหาระหว่างกันแล้ว ยังทำให้มีบทบาทการลดอำนาจของประเทศมหาอำนาจด้วย จึงอยากให้ผู้นำคิดเรื่องนี้ให้ดี
ทางการรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำจัดเฟคนิวส์ ที่สร้างความเกลียดชัง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการหว่านเมล็ดพืชเรื่องความเกลียดชัง โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่

ศ.สุริชัย หวันแก้ว อดีตผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาฯ กล่าวถึงข้อเสนอ ภาวะผู้นำที่จะนำสู่การสร้างสันติภาพ ผู้นำที่นำประเทศไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
ฐานของประเทศไทยต้องเข้าใจว่าภาวะผู้นำของประเทศ ต้องมาจากการร่วมทุกข์กับคนหลายภาคส่วน แต่การร่วมทุกข์ไม่ใช่เพียงการเสนอนโยบายที่ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่สนใจว่าผลกระทบท้องถิ่นเป็นอย่างไร
สถาบันทุกสถาบันต้องเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาวะผู้นำร่วมกัน และในส่วนนี้ต้องเคารพความริเริ่มสร้างสรรค์หลายภาคส่วน เช่น ภาคประชาสังคม มูลนิธิท้องถิ่นที่ทำงานสุขภาพข้ามแดนกับเมียนมา เป็นต้น ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจ และต้องมีความรับผิดชอบ
ด้าน สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่าปัญหาที่สำคัญของไทยตอนนี้คือปัญหาชายแดนกับทั้งกัมพูชา และเมียนมา จึงมีข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความสงบสุขเกิดขึ้นระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาหรือเมียนมา ดังนี้
1.) ไม่สนับสนุนและดำเนินการทางกฎหมายต่อขบวนการผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของสแกมเมอร์ บ่อนการพนัน คาสิโน คอลเซ็นเตอร์ โรงงานผลิตยาเสพติด เหมืองแร่เถื่อน และรูปแบบอื่นๆ ที่มีผลต่อการค้ามนุษย์ หลอกลวง ฉ้อโกง กักขัง หน่วงเหนี่ยว ให้สิ้นอิสรภาพ ทำลายสิ่งแวดล้อม
2.) ไม่สนับสนุนและตัดน้ำเลี้ยงต่อขบวนการผิดกฎหมาย ทั้งการให้ใช้สัญญาณสื่อสาร ไฟฟ้า ถนน การคมนาคมติดต่อ อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ
3.) ดำเนินคดีต่อบุคคลที่อยู่ในประเทศ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทหารและตำรวจ นักการเมืองและประชาชนที่เป็นขบวนการ หุ้นส่วน มีส่วนเกี่ยวข้อง สนับสนุน หรือรับผลประโยชน์จากการกระทำที่ผิดกฎหมาย อย่างจริงจัง
4.) ร่วมกันช่วยเหลือเหยื่อของขบวนการผิดกฎหมายเหล่านี้ ให้ได้รับอิสรภาพ การคุ้มครองดูแล ดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้มีส่วนในการกระทำด้านต่างๆที่ละเมิดต่อเหยื่อ จนถึงการส่งเหยื่อกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย
5.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจรจาในการกำหนดเขตแดนร่วมกันอย่างสันติ
ย้ำว่าในวันสันติภาพโลก เราต้องการให้เกิดสันติภาพจริงๆในแผ่นดินไทย รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน และหวังว่าคนไทยจะรักชาติด้วยวิธีที่ถูกต้อง
สมพงค์ สระแก้ว ผอ.มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN’) พูดถึงประเด็นการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติ ว่าเราจะสามารถทำให้คนเข้าใจว่าคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น เราจะมีการทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร
1. การสร้างความไว้วางใจทางการเมืองและความมั่นคง ใช้การทูตสันติภาพ (Peace Diplomacy) สร้างกลไกการพูดคุยระหว่างรัฐบาลและองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการชายแดนร่วม เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี
หยุดวาทกรรมชาตินิยมที่ทำให้เกิดการแบ่งแยก เปลี่ยนเป็นการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ เช่น “พรมแดนคือสะพาน ไม่ใช่กำแพง” บทบาทอาเซียน ใช้กรอบ ASEAN Way เน้นการเจรจา ความร่วมมือ และการไม่ใช้กำลัง
2. การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ พัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดน (Border Economic Zone)
เช่น ตลาดการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา (อรัญประเทศ–ปอยเปต) ให้กลายเป็นศูนย์กลางค้าขาย–ท่องเที่ยว
การลงทุนร่วมกันในโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟ ถนนพลังงานสะอาด การเชื่อมไฟฟ้า–พลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ส่งเสริมแรงงานข้ามชาติให้ถูกกฎหมายและปลอดภัย
เมื่อแรงงานได้รับการคุ้มครอง เศรษฐกิจก็เดินได้โดยไม่เกิดปัญหาสังคมตามมา
3. มิติทางสังคมและวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนการศึกษาและเยาวชน ให้เด็กไทย–กัมพูชาได้เรียนและทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ค่ายเยาวชนสันติภาพอาเซียน ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วม เช่น นำเสนอปราสาทพระวิหาร–นครวัด–ปราสาทหินพนมรุ้ง ไม่ใช่ในฐานะข้อพิพาท แต่เป็น “มรดกร่วมของมนุษยชาติ” สื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างความเข้าใจ ผลิตสื่อหนังสั้น เพลง ภาพยนตร์ ที่สะท้อนความผูกพันของชุมชนชายแดน
4. การจัดการปัญหาที่กระทบคนโดยตรง แรงงานและผู้อพยพ สร้างระบบการขึ้นทะเบียนที่ง่ายและมีค่าใช้จ่ายไม่สูง เพื่อให้แรงงานกัมพูชา–พม่าในไทยได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพและการศึกษา กลไกความร่วมมือข้ามพรมแดน เช่น การจัดการภัยพิบัติ น้ำท่วม โรคระบาด ที่ต้องอาศัยความร่วมมือ ไม่สามารถแก้ได้ประเทศเดียว
5. การมองไปข้างหน้า (Vision ร่วมของอาเซียน) “อาเซียนบ้านเดียวกัน” (ASEAN as One Community) วางเป้าหมายว่า ไทย–กัมพูชา–เมียนมา–ลาว ฯลฯ ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือ “หุ้นส่วนอนาคต”
เศรษฐกิจเชื่อมโยงกับสันติภาพ เมื่อคนสองฝั่งพรมแดนมีผลประโยชน์ร่วม เช่น ตลาดที่ค้าขายกันทุกวัน ความขัดแย้งจะลดลงโดยธรรมชาติ
ปิดท้ายวงเสวนาด้วย โดย บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ เลขาธิการ ASIAN CULTURAL FORUM ON DEVELOPMENT (ACFOD) กล่าวว่า เรื่องของความขัดแย้งในประเทศที่มีความขัดแย้งภายใน และความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเมียนมา และกัมพูชา
ตราบใดที่ประเทศยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตยสันติภาพก็อาจจะยังไม่เกิดขึ้น ประเทศไทยเองก็อาจจะมีบทบาทในการสร้างเสริมสันติภาพร่วมด้วย
ในการที่จะทลายกำแพง และมุ่งสู่สันติภาพได้ ทั้งรัฐบาล ประชาชน นักการเมือง ต้องยึดมั่นในหลักขันติธรรม ลดอคติที่นำมาสู่การเลือกปฏิบัติ การไม่เหยียดหยาม เกลียดชังทางชาติพันธุ์ และเชื้อชาติ ต้องมีความเครารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให้ความช่วยเหลือคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น ซึ่งเป็นหลักของมนุษยธรรม แม้จะดูเป็นนามธรรม แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะนำมาสู่สันติธรรม และเป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจ