เกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (25 ก.ค. 68)

The Active และ Thai PBS ชวนเกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังยังคงเกิดเหตุปะทะในหลายพื้นที่วันนี้  

ลำดับเหตุการณ์

22.30 น. (24 ก.ค. 68)

  • มท.เผย ชาวบ้านอพยพนับแสนคน

อรรษิษฐ์  สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากการลักลอบยิงอาวุธของกัมพูชาเข้ามาล่วงล้ำอธิปไตยของประเทศไทยจนส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ที่พักอาศัยพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้รับผลกระทบ ทั้งการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงต้องอพยพย้ายที่พักชั่วคราว

ทั้งนี้ข้อมูลพบว่า มีประชาชนที่อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้ง 4 จังหวัด ณ วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 22.30 น. มีจำนวนรวม 100,672 คน ศูนย์พักพิง 295 แห่ง จำแนกเป็น

  • จ.สุรินทร์ 56,000 คน ศูนย์พักพิง 67 แห่ง

  • จ.ศรีสะเกษ 17,196 คน ศูนย์พักพิง 58 แห่ง

  • จ.บุรีรัมย์ 17,000 คน ศูนย์พักพิง 1 แห่ง

  • จ.อุบลราชธานี 10,476 คน ศูนย์พักพิง 169 แห่ง

04.00 น.

กองทัพบก ได้รับรายงานจากหน่วยในพื้นที่ว่า เริ่มมีการปะทะในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี และภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ รวมถึงในพื้นที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยฝ่ายกัมพูชาได้ระดมยิงด้วยอาวุธหนัก ปืนใหญ่สนาม และ จรวด BM-21 เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้ด้วยอาวุธยิงสนับสนุนตามสถานการณ์

กองทัพบก ขอแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้หลีกเลี่ยงการเข้าในพื้นที่การปะทะ พร้อมกันนี้มีรายงานว่าตามปฏิบัติการ ‘ยุทธบดินทร์’ โดยมี พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ยังคงเปิดปฏิบัติการต่อเนื่อง โดยใช้กำลังทางบก และกำลังสนับสนุนทางอากาศ เข้าปฏิบัติการในพื้นที่

09.00 น.

  • กสม.ประณามการโจมตีพลเรือน-รพ. วอนหยุดสร้างความเกลียดชังเชื้อชาติ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ ประณามการโจมตีพลเรือนและพื้นที่โรงพยาบาลบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และขอให้หยุดการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติ

ตามที่ปรากฏเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค. 68 ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม กระทั่งลุกลามไปในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเหตุให้มีพลเรือนไทยเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

กสม. ขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกคน และขอประณามการกระทำอันไร้มนุษยธรรมของทหารกัมพูชาที่เปิดฉากโจมตี และมุ่งเป้าไปที่พลเรือนและโรงพยาบาล การโจมตีสถานที่ดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมสงคราม (war crimes) ที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (international humanitarian law: IHL) โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาและธรรมนูญกรุงโรม อย่างไม่อาจยอมรับได้

กสม. จึงขอเรียกร้องให้ทหารกัมพูชาเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชนสากล ยุติการกระทำความรุนแรงต่อพลเรือนและกลุ่มเปราะบาง ในพื้นที่ความขัดแย้งโดยทันที และขอแสดงความห่วงใยและส่งกำลังใจไปยังทหารและผู้ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนต่าง ๆ บริเวณแนวหน้า ขอให้ทุกหน่วยงานดูแลพลเรือนในพื้นที่เสี่ยงอย่างเต็มกำลัง และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ไม่ส่งต่อและไม่ยอมรับการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติต่อชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับความขัดแย้งตามแนวชายแดน

“สุดท้ายนี้ กสม. “หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิทธิ สวัสดิภาพ และความเป็นอยู่ของพลเรือนทั้งสองประเทศจะคลี่คลายโดยเร็วบนหนทางแห่งสันติภาพ”

14.00 น.

  • อัพเดทผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต

ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข สรุปข้อมูลผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ตัวเลขล่าสุด วันนี้ (25 ก.ค. 68) เวลา 14.00 น. มีกรณีประชาชนได้รับผลกระทบทั้งหมด 46 คน แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 13 คน ผู้บาดเจ็บอาการกลุ่มสีแดง 10 คน สีเหลือง 10 คน สีเขียว 13 คน 

จ.อุบลราชธานี
เสียชีวิต 1 คน
บาดเจ็บกลุ่มอาการสีแดง 2 คน
เหลือง 4 คน

จ.ศรีสะเกษ
เสียชีวิต 8 คน
ผู้บาดเจ็บกลุ่มสีแดง 7  คน
สีเหลือง 2 คน
สีเขียว 6 คน

จ.สุรินทร์
เสียชีวิต 4 คน
บาดเจ็บกลุ่มสีแดง 1 คน
สีเหลือง 3 คน
สีเขียว 6 คน

จ.บุรีรัมย์
บาดเจ็บกลุ่มอาการสีเหลือง 1 คน
สีเขียว 1 คน 

ข้อมูลสถานบริการที่ได้รับผลกระทบล่าสุดมี 11 แห่งใน  4  จังหวัด คือที่ จ.อุบลราชธานี มีสถานบริการที่ได้รับผลกระทบ 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลนาจะหลวย ที่เปิดให้บริการเฉพาะแผนกฉุกเฉินเท่านั้น ส่วนอีก 2 แห่งปิดให้บริการ คือ โรงพยาบาลน้ำขุ่น และโรงพยาบาลน้ำยืน   

จ.ศรีสะเกษ มีสถานบริการได้รับผลกระทบ 2 แห่ง และปิดให้บริการ คือ โรงพยาบาลกันทรลักษณ์ และโรงพยาบาลภูสิงห์  

จ.สุรินทร์ มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบ 4 แห่ง แบ่งเป็น โดยเปิดบริการบางส่วนคือ โรงพยาบาลปราสาท และโรงพยาบาลสังขะ ส่วนที่ยังปิดบริการคือ โรงพยาบาลกาบเชิง และโรงพยาบาลพนมดงรัก  

จ.บุรีรัมย์ มีสถานบริการได้รับผลกระทบ 2 แห่งคือ โรงพยาบาลบ้านกรวด และโรงพยาบาลประโคนชัย ยังปิดให้บริการ

15.30 น.

  • ‘กาชาด’ ยืนยันโลหิตสำรองเพียงพอ รพ.ชายแดน

ปิยนันท์ คุ้มครอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านจัดหาโลหิตและภาพลักษณ์องค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ระบุถึงสถานการณ์โลหิตหลังมีการประกาศในเพจเฟซบุ๊ก สภากาชาดไทย ว่า

“ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคโลหิต ทุกโรงพยาบาลได้สนับสนุนการรับบริจาคโลหิตสำรอง ให้แก่โรงพยาบาลในพื้นที่สำหรับใช้ในช่วงสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดน สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และ บุรีรัมย์ เป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้ มีปริมาณโลหิตเพียงพอใช้ สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินในสัปดาห์นี้”

ปิยนันท์ คุ้มครอง

ประชาชนจำนวนรอการบริจาคโลหิต ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

โดยระบุว่า ขณะนี้มีโลหิตเพียงพอที่จะสำรองให้กับโรงพยาบาลในชายแดนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ส่วนผู้บริจาคหากต้องการมาบริจาคโลหิต ขอให้ทยอยมา หรือดูในเพจของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อจะได้ไม่มีความหนาแน่น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้บริจาคโลหิตเกิน 1,200 คนแล้ว

“ไม่ต้องห่วง เนื่องจากโลหิตที่บริจาคไม่ได้ช่วยชายแดนเพียงอย่างเดียว ยังมีผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่รอความช่วยเหลือ ดังนั้นโลหิตที่บริจาค ยังไปรองรับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เช่นเดียวกัน”

ปิยนันท์ คุ้มครอง
 

สำหรับโลหิตที่นำไปให้กับโรงพยาบาลชายแดน ข้อมูลล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (25 ก.ค. 68) ทั้งของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ส่งไปยังโรงพยาบาลค่ายตามชายแดน และกองทัพอากาศ ก็ส่งไปอีก 200 ยูนิต โดยรวมทั้งหมดที่ส่งไปแล้ว 500 ยูนิต แต่ทางโรงพยาบาล มีเปิดรับบริจาคโลหิตเช่นกัน จึงมีสำรองของโรงพยาบาลด้วย

“ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารของเพจเฟซบุ๊ก ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เนื่องจากต้องมอนิเตอร์สถานการณ์ทุกวัน และเลือดมีอายุ จึงต้องบริหารจัดการเลือดที่ผู้บริจาคให้มาอย่างคุ้มค่า”

ปิยนันท์ คุ้มครอง

17.25 น.

  • รัฐบาลประณาม ‘กัมพูชา’ สร้างอาชญากรรมสงคราม

ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี อ่านแถลงการณ์รัฐบาลไทยถึงประชาชนชาวไทย ว่า​ จากสถานการณ์ที่ประเทศไทย​ กำลังถูกคุกคามจากประเทศกัมพูชา แม้ที่ผ่านมาเราจะอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ และเลือกที่จะใช้สันติวิธีภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และตามหลักมนุษยธรรมแล้ว แต่เป็นที่น่าผิดหวังมากที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะใช้กำลังทางทหารก่อน และยังเป็นการปฎิบัติที่ขัดต่อกรอบกฏหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรมอย่างรุนแรง ด้วยการโจมตีโรงพยาบาล และพื้นที่ชุมชนที่ประชาชนอาศัยอยู่ ซึ่งเลยบริเวณแนวชายแดนมากกว่า 20 กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือน 13 คน รวมไปถึงเด็ก สตรี และคนชรา รวมทั้งทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนเสียหายอย่างใหญ่หลวง ถือเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง

ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี

ภูมิธรรม ระบุด้วยว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกับเลขาธิการสหประชาชาติ และรัฐบาลได้มีหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประณามการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งขอเชิญชวนให้ประชาคมโลกร่วมประณามการกระทำอันไร้มนุษยธรรมนี้ รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียของพี่น้องประชาชนทุกท่าน และขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาล กองทัพ และหน่วยราชการทุกหน่วย ไม่ได้นิ่งนอนใจแม้แต่น้อย นับแต่เสียงจากกระบอกปืนนัดแรกดังขึ้น กองทัพไทยได้มีการตอบโต้โดยจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางการทหารของกัมพูชา บนหลักการปกป้องตัวเองตามกฏหมายระหว่างประเทศ โดยได้ทำลายฐานที่มั่นทางการทหารของกัมพูชา

ขณะนี้เราได้มีการจัดการอพยพผู้คนที่ได้รับผลกระทบออกจากพื้นที่นับแสนคน และรัฐบาลได้กำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งทหาร และพลเรือนรายละ 1 ล้านบาท, ทุพพลภาพ 700,000 บาท ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 200,000 บาท ผู้ได้รับบาดเจ็บมาก 100,000 บาท และได้ประสานสายการบินทุกสายในการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อรับคนคนไทยกลับบ้านอย่างปลอดภัย

รวมถึงดูแลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มที่ โดยพรุ่งนี้ (26 ก.ค.68) รัฐมนตรีจะลงพื้นที่ครอบคลุม 4 จังหวัด คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เพื่อไปสร้างความเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความปลอดภัย และเพื่อดูแลสร้างขวัญกำลังใจให้พี่น้องในพื้นที่สถานการณ์

“ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อส่งกำลังใจให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกคนในการปกป้องอธิปไตย และประชาชนในพื้นที่ ให้มีความปลอดภัย ขอให้เน้นย้ำว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ความขัดแย้งในระดับประชาชนทั้งสองประเทศ ไม่ใช่การประกาศสงคราม แต่เป็นการปะทะกันตามชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตย และตอบโต้ผู้รุกราน ท้ายที่สุดนี้นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยกำลังพล และราษฎร ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ทรงรับผู้บาดเจ็บทุกคนเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active