‘วราวุธ’ เผย อยู่ในความดูแลบ้านพักเด็กและครอบครัวสุรินทร์ ย้ำ เน้นสวัสดิภาพ ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์สัญชาติ คุ้มครองเด็กทุกคนตาม CRC มาตรา 22 ไม่จำกัดสัญชาติ เชื้อชาติ ขณะที่ กสม. แถลงการณ์ จี้ทุกฝ่าย ยุติสร้างความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติทุกรูปแบบ
วันนี้ (28 ส.ค. 68) วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยความคืบหน้า กรณีเด็กนักเรียนชายวัย 13 ปี จากจังหวัดสุรินทร์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุม และควบคุมตัวไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกาบเชิง โดย พม. ประสานงานไปยังศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จังหวัดสุรินทร์ และทีม พม.จังหวัดสุรินทร์ พร้อมร่วมกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ลงพื้นที่ทำงานแบบบูรณาการ ประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อให้เด็กและมารดาเข้ารับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพที่บ้านพักเด็กและครอบครัว (บพด.) จังหวัดสุรินทร์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ พม. จะส่งเสริมให้เด็กได้รับการศึกษา และจัดที่พักอาศัยให้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC) มาตรา 22 ซึ่งระบุให้ เด็กทุกคนไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือเชื้อชาติใดที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพ
“พม. ไม่มีอำนาจในการให้หรือพิสูจน์สัญชาติ สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบสัญชาติของเด็กและมารดา จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ แต่ระหว่างนั้น เด็กและมารดาจะอยู่ภายใต้การดูแลและคุ้มครองของกระทรวง พม. ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และมาตรา 22 ของ CRC อย่างเต็มที่”
วราวุธ ศิลปอาชา
กสม. วอนทุกฝ่าย ยุติความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติทุกรูปแบบ
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ เน้นย้ำว่า อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม มีหลักการสำคัญระบุให้การดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันทางสังคม หรือองค์กรใด ผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก และรัฐภาคีต้องยอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษาบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน

กสม. เห็นว่า กรณีการจับกุมเด็กนักเรียนชายคนดังกล่าว เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักสิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องด้วยเป็นการจับกุมที่ไม่มีหมายจับ ไม่มีเหตุแห่งการกระทำความผิดซึ่งหน้า เด็กมีสถานะเป็นเพียงผู้ติดตามมารดาเข้าเมืองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและไม่มีเจตนาหลบหนี อีกทั้งการเข้าไปจับกุมเด็กในพื้นที่โรงเรียนอาจสร้างบาดแผลทางจิตใจให้แก่เด็กได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น การส่งตัวกลับประเทศต้นทางในทันทีอาจทำให้เด็กนักเรียนชายคนดังกล่าว ซึ่งไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาประเทศบ้านเกิดได้ เสียสิทธิ ขาดโอกาสและความต่อเนื่องในการได้รับการศึกษาโดยสิ้นเชิง
“ขอให้การดำเนินการใด ๆ ของทุกฝ่าย คำนึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง โดยไม่ควรมีกรณีการจับกุมเด็กต่างชาติในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กสม. ขอให้สังคมร่วมกันยุติการสร้างความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติในทุกรูปแบบ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมที่พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างสันติ”