ปลดล็อก ‘ผู้หนีภัย’ ได้ทำงาน ย้ำ ไทยปรับกรอบคิด สร้างสมดุล ‘สิทธิมนุษยชน-ความมั่นคง’

‘หมอเบียร์’ ยอมรับ เปิดโอกาสผู้หนีภัยได้ออกมาทำงาน ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวก ตั้งข้อสังเกตระยะยาว หวั่นแรงงานหมดสัญญา ประกันสุขภาพหมดอายุ เสี่ยงเกิดช่องโหว่สุขภาพชายแดนซ้ำรอย แนะ นายจ้างซื้อประกันให้ลูกจ้างตามระยะเวลาจ้างงาน ชี้ ขึ้นทะเบียนแรงงาน ระบบ Biometric ช่วยจัดการสิทธิประกัน-สาธารณสุข

วันนี้ (3 ต.ค. 68) พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม หรือ หมอเบียร์ อดีตอายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักจากการออกมา “Call out” เรื่องภาระงานบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลชายแดน กับการต้องรองรับผู้ป่วยทั้งคนไทยและแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก โดย พญ.ณัฐกานต์ เปิดเผยกับ The Active หลังลาออกจากโรงพยาบาลแม่สอด ว่า ยังคงทำงานด้านการเฝ้าระวังและควบคุมโรคในกลุ่มประชากรแฝง โดยเข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการด้านการจัดการข้อมูลและการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว รวมถึงการผลักดันให้ใช้ระบบ Biometric ยืนยันตัวตนตามคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ

“การออกมาในวันนั้น ไม่ใช่เพราะปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย แต่ต้องการชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลของภาระงานบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน เราทุกคนยังคงรักษาคนไข้ด้วยจรรยาบรรณเหมือนกัน เพียงแต่สังคมต้องเห็นว่า ถ้าไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจน จะกระทบทั้งคนไทยและต่างชาติ”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม (หมอเบียร์) อดีตอายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก

จากผู้หนีภัยสงคราม สู่แรงงานถูกกฎหมาย

เมื่อถามว่าจากมติคณะรัฐมนตรี 26 ส.ค. 2568 ที่อนุญาตให้ ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) ทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ มีผลเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพ สามารถทำงานอย่างถูกกฎหมาย มีรายได้ และเข้าระบบ ประกันสุขภาพของภาครัฐ ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของไทยนั้นจะแก้ปัญหาผู้หนีภัยได้หรือไม่ นั้น

พญ.ณัฐกานต์ อธิบายว่า การจัดการประชากรหนีภัยสงครามในไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนไปกว่า 40 ปี ประเทศไทยต้องรองรับผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมา โดยจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่งทั่วประเทศ (3 แห่งในจังหวัดตาก) แม้ไทยจะไม่เป็นภาคีอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี 1951 แต่ก็ต้องยอมรับในเชิงมนุษยธรรม ซึ่งตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การลดจำนวนผู้หนีภัยมี 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. ส่งต่อประเทศที่ 3 เช่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มสแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

  2. ผลักดันกลับประเทศต้นทางโดยสมัครใจ หากสถานการณ์ปลอดภัยและรัฐบาลต้นทางยอมรับ

  3. แปลงสถานะเป็นแรงงานถูกกฎหมายในไทย ควบคู่กับการเข้าระบบประกันสุขภาพ 

“ที่ผ่านมา เราติดขัดเพราะกฎหมายไทยไม่รองรับสถานะผู้หนีภัย แต่ตอนนี้รัฐบาลเริ่มปลดล็อก เปิดทางให้ออกมาทำงานนอกค่ายได้ ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวก เพราะเมื่อมีการขึ้นทะเบียนแรงงานและซื้อประกันสุขภาพ เราจะจัดการได้ทั้งมิติแรงงาน สาธารณสุข และความมั่นคง”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

พร้อมย้ำว่า การจัดการปัญหานี้ไม่ควรพุ่งเป้าไปที่ ความมั่นคงของชาติ เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองผ่านกรอบสิทธิมนุษยชนและบทบาทที่แรงงานข้ามชาติมีต่อเศรษฐกิจไทย

รูปแบบแรงงานข้ามชาติ และสิทธิการซื้อประกันสุขภาพ

พญ.ณัฐกานต์ ยังระบุด้วยว่า ปัจจุบันแรงงานข้ามชาติในไทยมีอยู่ราว 5 ล้านคน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. แรงงาน MOU – ทำสัญญาจ้างตามช่วงเวลา เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี

  2. แรงงานที่มี work permit และซื้อประกันสุขภาพ – มักเป็นการทำประกันรายปี

  3. แรงงานมาตรา 64 – แรงงานภาคเกษตรที่ขึ้นทะเบียนกับผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน ไม่สามารถออกนอกพื้นที่ได้

  4. กลุ่มอื่น ๆ ที่ขึ้นกับรูปแบบการจ้างงาน เช่น จ้างสั้น จ้างยาว

ในแต่ละประเภท นายจ้างมีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อประกันให้ลูกจ้างตามระยะเวลาจ้างงาน โดยหากจ้าง 1 ปี ต้องทำให้สัญญาจ้างและประกันสุขภาพสิ้นสุดพร้อมกัน เพื่อไม่ให้เกิด ช่องโหว่ ที่แรงงานยังทำงานแต่ขาดสิทธิรักษาพยาบาล

ดังนั้นสิทธิในการเข้าถึงประกันสุขภาพ และบริการสาธารณสุขจึงขึ้นกับรูปแบบการจ้างงานและความรับผิดชอบของนายจ้าง หากไม่มีการซื้อประกันหรือประกันหมดอายุ ก็จะกลายเป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขของไทยทันที

ระบบบริการสุขภาพชายแดนยังน่าห่วง

แม้รัฐบาลจะ ปลดล็อกผู้หนีภัยให้ทำงานนอกค่าย แต่สถานการณ์บริการสุขภาพตามแนวชายแดนยังคงน่ากังวล โรงพยาบาลชุมชนรอบศูนย์พักพิงต้องรับภาระดูแลผู้หนีภัย โดยอาศัยทั้งแพทย์เมียนมาจากองค์กร NGO และบุคลากรที่โรงพยาบาลต้องจ้างเพิ่มเข้าเวรตรวจ หากผู้ป่วยมีอาการหนักจึงส่งต่อมายังโรงพยาบาลหลัก

อย่างไรก็ตาม งบประมาณกลางของรัฐที่เคยอนุมัติให้ ไม่มีความแน่นอนในทุกปี ทำให้การสร้างระบบที่ยั่งยืน เช่น การขึ้นทะเบียนแรงงานพร้อมประกันสุขภาพ เป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าในระยะยาว

พญ.ณัฐกานต์ บอกด้วยว่า หากแรงงานทุกคนขึ้นทะเบียนครบ 100% จะสามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลแรงงานข้ามชาติได้อย่างเป็นระบบ โดยไม่ต้องดึงทรัพยากรที่จัดไว้สำหรับประชาชนไทย ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติราว 1 ล้านคน ที่อยู่ในระบบประกันสังคม และอีกประมาณ 4 ล้านคนในระบบประกันสุขภาพต่างด้าวของกระทรวงสาธารณสุข และภาคเอกชน

อย่างไรก็ดี จำนวนแรงงานที่นำมาใช้วางนโยบายอาจสูงกว่าความเป็นจริง (over estimate) เพราะยังไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่ครอบคลุม เช่น biometric ทำให้มีปัญหาการลงชื่อซ้ำ หรือใช้ชื่อบุคคลอื่นในการซื้อประกันรายปี

หากสามารถขึ้นทะเบียนแรงงานได้จำนวนมากจริง จะก่อให้เกิดรายได้จากเบี้ยประกันสุขภาพที่สามารถจัดสรรเพื่อพัฒนาระบบบริการได้ ตัวอย่างเช่น หากเก็บเบี้ยประกันปีละ 1,600 บาทต่อคน และมีผู้ขึ้นทะเบียนจำนวนมาก งบประมาณที่ได้อาจสูงถึง 1,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่สามารถใช้จัดการระบบสุขภาพได้จริง

เสนอใช้ Biometric ยืนยันตัวตน 

พญ.ณัฐกานต์ บอกอีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มนำระบบสแกนม่านตา (biometric) โดยสภากาชาดไทยเข้ามารับผิดชอบ เพื่อระบุตัวตนแรงงานโดยไม่ขึ้นกับสถานะทางพลเมือง วิธีนี้ช่วยทั้งการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ลดปัญหาช่องว่างการเข้าถึงบริการ และเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรคและความมั่นคง

“เมื่อเราทราบว่าใครคือใคร อยู่ที่ไหน ทำงานกับใคร ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทั้งด้านความมั่นคงและการควบคุมโรค ขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจว่าคนต่างด้าวจะได้รับสิทธิพื้นฐานด้านสุขภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

สำหรับการสแกนม่านตา (biometric) จะเป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนเพื่อลดปัญหาซ้ำซ้อนและการสวมสิทธิ์ พร้อมเสนอโมเดล สถานะแบบมีเงื่อนไข โดยให้แรงงานที่เข้ามาใหม่มีสถานะ สีแดง ในปีแรก และเปิดโอกาสพิสูจน์ตัวตนหรือพฤติกรรมภายในกรอบเวลาที่กำหนด หากไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสังคม จึงปรับสถานะทางทะเบียนให้ดีขึ้น 

ขณะที่สิทธิประโยชน์ด้านสาธารณสุข ควรออกแบบให้เป็นขั้นตอน เริ่มจากสิทธิพื้นฐานที่จำเป็นต่อการควบคุมโรคและการทำงาน เช่น การรักษาโรคติดต่อ การฝากครรภ์ การคุมกำเนิด และการวางแผนครอบครัว รวมถึงบริการฝังยาคุม เพื่อป้องกันปัญหาสาธารณสุขระยะยาว

แนวคิดปิดศูนย์พักพิง ทำได้จริง ?

สำหรับประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือ การปิดศูนย์พักพิง นั้น พญ.ณัฐกานต์ มองว่า ยังต้องพิจารณาเป็นแผนระยะสั้น กลาง และยาว เช่น หากการจ้างแรงงานระยะสั้น 3–6 เดือน เมื่อครบสัญญาจ้าง แล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ต้องพูดคุยกับรัฐบาลเมียนมา และ UN หากมีการเปิดรับ และการันตีความปลอดภัย จึงจะผลักดันกลับโดยสมัครใจได้

พร้อมยกตัวอย่างบทเรียนจาก กรณีเขมรแดง ในอดีต ที่แม้จะมีจำนวนหลายแสนถึงล้านคน และอยู่ในไทยเป็นเวลานาน แต่ในที่สุดก็สามารถส่งกลับกัมพูชาได้ เพราะรัฐบาลกัมพูชาเปิดรับ และ UN ช่วยประสานงานอย่างปลอดภัย 

“ถ้าเมียนมาร์เปิดรับแรงงานกลับ เราก็จะทยอยทำได้โดยสมัครใจ ไม่ต่างจากกรณีกัมพูชาในอดีต”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

ข้อเสนอถึงสังคมไทย ต้องเปลี่ยนกรอบความคิด

พญ.ณัฐกานต์ ยังชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยส่วนใหญ่มักโฟกัสไปที่ความมั่นคงของชาติ มองแรงงานข้ามชาติผ่านกรอบรั้ว และเส้นแบ่งเขตแดน แต่ความจริงแล้ว ชายแดน คือ พื้นที่เปราะบางที่คนเข้าออกตลอดเวลา จะด้วยถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม

“มนุษย์ทุกคนมีสิทธิมนุษยชน สมมติถ้าเป็นคนไทยที่ต้องหนีภัยออกทะเลไปประเทศเพื่อนบ้าน แล้วเขาไม่รับ เราก็จะลอยคออยู่กลางทะเลโดยไม่มีชะตากรรม แบบเดียวกับที่แรงงานเหล่านี้เผชิญอยู่”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

นอกจากนี้ยังเน้นว่า แรงงานข้ามชาติมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย และการเติบโตของ GDP ดังนั้น การจัดการแรงงานต้องเปลี่ยนกรอบคิด จาก การปิดรั้วเพื่อความมั่นคง ไปสู่ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บนหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active