หยุดยิง! แต่ความขัดแย้งชายแดนไม่จบ ชี้ ปัญหายังซ่อนใต้พรม รอเวลาปะทุเมื่อเข้าเงื่อนไข

นักรัฐศาสตร์ ม.อุบลฯ เชื่อ สัญญาณความมั่นคงยังเปราะบาง โดรน–กับระเบิด ไม่หายไป ทางออกวันนี้แค่ประคองสถานการณ์ ไม่ใช่สันติภาพถาวร มองความขัดแย้งครั้งนี้ อาจคลี่คลายต่อเมื่อคนเปลี่ยนรุ่น 

วันนี้ (30 ธ.ค. 68) หลังการเจรจาหยุดยิงตามกรอบเวลา 72 ชั่วโมงสิ้นสุดลง และประชาชนในพื้นที่ชายแดนบางส่วนเริ่มทยอยกลับบ้าน คำถามสำคัญที่สังคมจับตาคือ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชาจะคลี่คลายลงจริงหรือไม่ ? หรือเป็นเพียงการสงบชั่วคราว

ธนเชษฐ วิสัยจร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ The Active ว่า หากมองในเชิงความรู้สึกของประชาชนชายแดน สถานการณ์อาจถือว่า “จบแล้ว” ในแง่หนึ่ง แต่เป็นการจบที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลระยะยาว ซึ่งยากจะลบเลือน

ธนเชษฐ วิสัยจร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ความรู้สึกของคนชายแดน บาดแผลที่ยังไม่จาง

ธนเชษฐ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ แม้จะมีความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเราอยู่บ้าง แต่คนไทยและชาวกัมพูชายังสามารถค้าขายและใช้ชีวิตร่วมกันได้ ทว่าเหตุปะทะครั้งล่าสุดได้เปลี่ยนบรรยากาศเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง

“วันนี้มันเหมือนมองหน้ากันไม่ติดแล้ว ความรู้สึกมันจบที่รุ่นนี้จริง ๆ”

ธนเชษฐ วิสัยจร

สำหรับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความทรงจำจากเหตุการณ์รุนแรง จะฝังอยู่ในใจคนชายแดนไปอีกยาวนาน โดยเฉพาะภาพความสูญเสียของพลเรือน บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ และเหตุการณ์สะเทือนใจที่เด็กนักเรียนเสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบ

เมื่อความรู้สึกไม่มา การค้าก็ไปต่อยาก

นักวิชาการ ยังชี้ว่า เมื่อความรู้สึกของผู้คนยังไม่กลับมา เศรษฐกิจชายแดนย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การเดินทางข้ามแดน หรือการใช้บริการสาธารณสุข

ทั้งยังประเมินว่า การเปิดด่านชายแดนในระยะสั้นยังเป็นไปได้ยาก แม้จะมองในแง่ดีว่าอาจมีการผ่อนคลาย แต่ก็เชื่อว่าการกลับไปสู่บรรยากาศแบบเดิมก่อนเกิดเหตุปะทะ “ยังเร็วเกินไป”

“ต่อให้เปิดด่าน แล้วเห็นรถกัมพูชามาจอดที่ปั๊มน้ำมัน ความรู้สึกของชาวบ้านจะเป็นยังไง ผมว่ามันรับกันยาก”

ธนเชษฐ วิสัยจร

หยุดยิงแต่ยังต้องเฝ้าระวัง

ส่วนในมิติความมั่นคงนั้น ธนเชษฐ ยอมรับว่า แม้อาวุธหนักอาจจะยังไม่ถูกนำมาใช้ในช่วงนี้ แต่สัญญาณความตึงเครียดยังไม่หมดไป โดยเฉพาะรายงานการตรวจพบโดรนจำนวนมาก และเหตุเหยียบกับระเบิดที่ยังเกิดขึ้น ชี้ให้เห็นว่า กัมพูชามีการถอดบทเรียนและอัปเกรดกองทัพ มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะบริเวณเขาพระวิหารเมื่อปี 2554 จนถึงปัจจุบัน

“จาก BM-21 ที่เคยใช้ไม่คล่อง วันนี้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ต้องมองในระยะยาว”

ธนเชษฐ วิสัยจร

ไม่จบแต่ไม่รู้จะปะทุเมื่อไหร่ ?

ธนเชษฐ ยังฟันธงว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ “ยังไม่จบ” เพียงแต่อาจอยู่ในสภาพปัญหาที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พรม และรอเวลาปะทุขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเงื่อนไขเหมาะสม

โดยมองว่า หลังช่วงปีใหม่ สถานการณ์อาจยังไม่รุนแรงในทันที แต่ยังจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะฝั่งกัมพูชายังคงไม่ยอมถอย และมีการปรับยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

ทางออกระยะสั้น แค่ประคองสถานการณ์

เมื่อถูกถามถึงข้อเสนอเพื่อให้สถานการณ์ยั่งยืน ธนเชษฐ ยอมรับว่า เป็นโจทย์ที่ตอบได้ยาก เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยเพียงฝ่ายเดียว และยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อีกหลายด้าน

สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือ กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้สูงอายุและประชาชนที่ต้องอพยพซ้ำ ๆ ซึ่งสร้างภาระทั้งทางร่างกายและจิตใจ

“อย่างน้อยช่วงปีใหม่ คนไทยน่าจะได้พักหัวใจ ได้เคานต์ดาวน์กัน แต่หลังจากนั้นยังต้องเตรียมรับมือ เพราะมันยังไม่จบ”

ธนเชษฐ วิสัยจร

ความทรงจำกับการเปลี่ยนผ่านของคนรุ่นใหม่

ธนเชษฐ ทิ้งท้ายว่า ความขัดแย้งลักษณะนี้อาจคลี่คลายได้ในระยะยาว เมื่อคนเปลี่ยนรุ่น ความทรงจำบางอย่างอาจเลือนหายไป เช่นเดียวกับกรณีผู้ลี้ภัยกัมพูชาในอดีตที่คนรุ่นใหม่แทบไม่รับรู้แล้ว

แต่สำหรับคนชายแดนในวันนี้ ความทรงจำจากเหตุปะทะครั้งล่าสุดจะยังคงอยู่ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ “ยังไม่กลับไปเหมือนเดิมในเร็ววัน”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active