ปลดล็อกผู้หนีภัยได้ทำงานแล้ว แต่ ‘หมออนามัย’ ในศูนย์พักพิงฯ แม่หละ ยังเจอปัญหาบัตรซ้ำซ้อน จนถูกจำหน่าย ไม่มีสถานะอะไรรองรับ ขณะที่ ‘ผอ.รพ.ท่าสองยาง’ ย้ำภาพปัญหา แรงงานไม่มีเงิน ซื้อประกันแค่หลักร้อยคน จากแรงงานนับหมื่น เดินหน้าสร้างแนวทางให้แรงงานทำงาน มีรายได้ ค่อยซื้อประกัน เชื่อทำให้ระบบครอบคลุม ยั่งยืน
ตามที่มีมติคณะรัฐมนตรี ปลดล็อกให้ผู้หนีภัยออกไปทำงานนอกศูนย์พักพิง มีผลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถูกมองว่าเป็นความหวังสำคัญในการสร้างรายได้เลี้ยงตัวเอง หลังจากที่ในอดีต การดูแลผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราวเคยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อการช่วยเหลือสิ้นสุดลง และงบประมาณถูกตัด ประเทศไทยจึงต้องหาแนวทางการดูแลต่อ
การเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยทำงานนอกค่ายฯ อย่างถูกกฎหมายจึงถูกคาดหวังว่า จะช่วยให้ผู้หนีภัยมีรายได้เพียงพอสำหรับการดำรงชีพ และสามารถซื้อประกันสุขภาพได้เอง ซึ่งจะช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายงบประมาณของรัฐในการดูแลค่ารักษาพยาบาลให้ผู้หนีภัย และแรงงานข้ามชาติ ในส่วนที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้กว่าพันล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้หนีภัยจะซื้อประกันสุขภาพครบ 100% ก็ยังเป็นเรื่องยาก เพราะยังมีกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถออกไปทำงานได้ เช่น เด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งยังคงต้องได้รับการดูแลจากระบบสาธารณสุขในพื้นที่ โดยเฉพาะ โรงพยาบาลท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนที่ต้องดูแลต่อเนื่อง หลังจากที่โรงพยาบาล IRC ซึ่งเคยได้รับงบฯ สนับสนุนจากสหรัฐฯ ถอนตัวออกไป

นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง เปิดเผยกับ The Active ว่า ก่อนหน้านี้โรงพยาบาล IRC ดูแลประชากรในศูนย์ฯ ประมาณ 30,000–40,000 คน แต่ตั้งแต่รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มตัดงบฯ เมื่อปลายเดือนมกราคม โรงพยาบาลท่าสองยางจึงเริ่มเข้ามาร่วมดูแลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดย IRC ยังสนับสนุนงบประมาณบางส่วนในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม
อย่างไรก็ตาม หลังจากปีงบประมาณเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา IRC จะตัดงบฯ ด้านยา เวชภัณฑ์ การขนส่ง และออกซิเจน ทำให้โรงพยาบาลท่าสองยาง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ ต้องรับผิดชอบดูแลประชากรในศูนย์ฯ โดยตรง โดยจะจ้างกลุ่มผู้หนีภัยที่เคยทำงานกับโรงพยาบาล IRC ภายในศูนย์ฯ ให้ช่วยทำงานต่อ แต่ต้องลดจำนวนลงให้สอดคล้องกับงบประมาณ จากเดิมมีเกือบ 400 คน ปรับลดเหลือ 189 คน ค่าจ้างลดลงจากเดิมประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน เหลือประมาณ 500,000 บาทต่อเดือน เงินเดือนอยู่ระหว่าง 2,000–4,500 บาทต่อเดือน
นพ.ธวัชชัย บอกว่า ปัญหาหนึ่งที่พบคือ มีเจ้าหน้าที่ 21 คน ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย (ไม่มีเลข 000) ซึ่งตามประกาศปลดล็อกผู้หนีภัยให้ทำงาน สามารถจ้างได้เฉพาะผู้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคด้านการทำประกันสุขภาพ และการตรวจสุขภาพ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500–2,000 บาท ใกล้เคียงกับเงินเดือนของเจ้าหน้าที่
นพ.ธวัชชัย ยังย้ำว่า การจ้างเจ้าหน้าที่และดูแลสุขภาพประชากรในศูนย์ฯ เป็นเรื่องสำคัญต่อการควบคุมโรคระบาด และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ขณะนี้ โรงพยาบาลท่าสองยาง กำลังรอเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ผ่านขั้นตอนที่ส่งเรื่องไปยังสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีความล่าช้าจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนกัมพูชา
เบื้องหลังข้อจำกัด เจ้าหน้าที่ ‘หมออนามัย’ ในค่ายผู้หนีภัย
ชายผู้หนีภัย ชาวเมียนมา อายุ 34 ปี ซึ่งเคยทำหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์และหัวหน้าผู้ช่วยแพทย์ ในระบบสุขภาพของศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ บอกกับ The Active ว่า ในช่วงปี 2005 ประเทศเมียนมากำลังมีความขัดแย้งและการต่อต้านรัฐบาล ทำให้โรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ในระดับมัธยมปลายประสบปัญหา ครูที่สอนถูกทางการควบคุม บางคนถึงขั้นถูกฆ่า จนปี 2006 เขาไม่สามารถเรียนต่อได้ตามปกติ จึงตัดสินใจหนีมาไทยในเดือนมิถุนายนปีนั้น

เขาอพยพมาจากจังหวัดอิรวดี และเข้าพักในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ โดยครั้งแรกอยู่กับป้า เมื่อเข้ามาอยู่ในแคมป์ได้ไม่นาน ผู้บริหารแคมป์ชักชวนให้เขามาสอนเด็กนักเรียนในแคมป์ เขาจึงเป็นครูสอนระดับประถมฯ เป็นเวลา 2 ปี หลังจากนั้นได้เรียนต่อในวิทยาลัยภายในค่าย โดยเป็นหลักสูตรเกี่ยวกับการแพทย์ (Medic) และปัจจุบันทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์และหัวหน้าผู้ช่วยแพทย์ในระบบสุขภาพของแคมป์
เขายัง เล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการทำบัตรผู้หนีภัยในแคมป์ ว่า มีการสำรวจข้อมูลและออกบัตร 000 ในปี 2015, 2019 และ 2023 โดยในปี 2019 เขาได้ทำบัตรเลข 0 นอกแคมป์ตามคำแนะนำของเพื่อน เพื่อสะดวกในการเดินทางและประกอบอาชีพ รวมถึงเพื่อให้ลูกสามารถเรียนหนังสือไทยได้ แต่เมื่อปี 2023 เกิดปัญหาบัตรซ้ำซ้อนกับข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย คือมีทั้งบัตรเลข 0 และเลข 000 จึงต้องถูกจำหน่ายออกทั้ง 2 เลข กลายเป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะอะไรเลย และเป็นอุปสรรคต่อการจ้างงานจากโรงพยาบาลท่าสองยาง
เขา ยังเล่าว่า ในช่วงสำรวจข้อมูลในแคมป์ จะมีการสอบถามผู้หนีภัยว่าต้องการอยู่ต่อในแคมป์ ไปประเทศที่สาม หรือกลับประเทศต้นทาง ส่วนตัวเขาเลือกไปประเทศที่สาม เพื่ออนาคตที่ดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้ไปก็ยินดีอยู่ต่อในไทยเพื่อทำงานและให้ลูกได้เรียนหนังสือ
ปัจจุบันลูกของเขา มีสถานะเป็นบุตรผู้หนีภัยในแคมป์ และได้เรียนข้างนอกในโรงเรียนห้วยนกกก ส่วนตัวเขาเจออุปสรรคในการออกนอกแคมป์เพื่อประกอบอาชีพ เพราะต้องขออนุญาตเป็นรายกรณี ซึ่งไม่ครอบคลุมการทำงานเต็มรูปแบบ
พร้อมทั้งย้ำว่า หากสามารถคืนเลข MOI (เลข 000) ให้เขากลับมาได้ จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น สามารถทำงานได้ถูกกฎหมาย และหากครอบครัวต้องไปประเทศที่สาม เขาจะสามารถพาภรรยาและลูกไปด้วยได้ ทำให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมั่นคง
ขณะที่ หญิงผู้หนีภัย อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นหมออนามัยอีกคนในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ เปิดใจกับ The Active ว่า เธอเกิดในประเทศไทย เนื่องจากพ่อแม่อพยพมาจากเมียนมาก่อนที่เธอจะเกิด พ่อแม่ต้องหนีจากความไม่สงบในเมียนมา มาอยู่ที่ศูนย์ฯ ในไทยทำให้เธอเติบโตที่ไทยตั้งแต่เกิด
เธอเรียนหนังสือในประเทศไทยตั้งแต่ระดับประถมฯ จนถึงมัธยมฯ หลังจบการศึกษา เธอกลับไปช่วยสอนเด็กในแคมป์ประมาณ 3 ปี จากนั้นมีโอกาสเรียนต่อหลักสูตรด้านแพทย์ที่จัดภายในแคมป์ โดยเริ่มเรียนหลักสูตรสั้น 6 เดือน ก่อนจะทำงานในโรงพยาบาลในแคมป์ประมาณ 3–4 ปี และต่อมาได้เรียนหลักสูตรผู้ช่วยแพทย์ 1 ปี หลังเรียนจบ เธอทำงานในโรงพยาบาลของ IRC ดูแลผู้ป่วย ทั้งการเช็คประวัติและจ่ายยาให้กับผู้มารับบริการ
เธอ ยอมรับว่า หลังจากสหรัฐฯ ตัดงบฯ โรงพยาบาลต้องปรับจำนวนเจ้าหน้าที่ ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ยังคงทำงานต่อ และดูแลคนในค่าย แม้ว่าเพื่อนที่มาจาก IRC จะได้รับเงินเดือนมากกว่า แต่เธอก็ยอมรับและทำงานต่อไป
ส่วนปัญหาสำคัญคือเรื่องเลขบัตรผู้หนีภัย บางคนมีปัญหากับการเดินทางไปประเทศที่สาม เพราะติดบัตรเลข 0 (บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิม)

ขณะเดียวกัน เธอมีทั้งเลข 000 (ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา) และเลข 0 ซึ่งซ้ำซ้อนเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ถูกจำหน่าย เธอบอกถึงที่มาของบัตรเลข 0 ว่า เคยถูกชักชวนให้ไปทำบัตร 0 เมื่อหลายปีก่อน
เธอยอมรับว่า ตัดสินใจไม่ได้ว่าสถานะแบบไหนดีกว่าระหว่างเลข 0 กับเลข 000 เพราะแต่ละเลขมีความแตกต่างกัน โดยเลข 0 ทำให้เธอเดินทางออกจากค่ายไปสู่โลกภายนอกได้ง่ายกว่า แต่ถ้ามีเลข 0 เธอจะไม่ได้รับสิทธิ์ไปประเทศที่สาม ขณะที่เลข 000 ซึ่งหมายถึงผู้หนีภัยโดยตรงจะได้สิทธิ์ไปประเทศที่สาม
เธอบอกว่า หากได้โอกาสทำงานนอกค่ายจะดีที่สุด เพราะปัจจุบันเธอยังไม่มีตัวตนทางกฎหมายอย่างชัดเจนในไทย แม้จะมีข่าวว่ารัฐบาลไทยปลดล็อกให้ผู้หนีภัยทำงานนอกค่าย แต่ความจริงยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และต้องรอการอนุญาตจากนายจ้างและระบบการจัดการของค่าย
ส่วนชีวิตครอบครัวนั้น ปัจจุบันมีแม่ น้องสาว หลาน 2 คน และแฟนพร้อมลูก 2 คน เธอจึงอยากให้ลูกมีโอกาสเรียนหนังสือ และมีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง และอยากใช้ชีวิตเหมือนประชากรปกติทั่วไป โดยไม่ต้องเผชิญข้อจำกัดหรือความไม่แน่นอนในค่าย
ตั้งโรงพยาบาลท่าสองยาง สาขาแม่หละ ในศูนย์พักพิงฯ
นพ.ธวัชชัย ยังได้อธิบายถึงการตั้งโรงพยาบาลท่าสองยาง สาขาแม่หละ ว่า โรงพยาบาลได้เข้าไปสนับสนุนด้านยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น เครื่องออกซิเจน รวมถึงเตรียมแผนจ้างงานแพทย์และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลท่าสองยางไปประจำศูนย์ เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพประชากรทุกกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม การจัดประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติยังคงเป็นปัญหา เนื่องจากระบบประกันของกระทรวงสาธารณสุขต้องจ่ายเต็มจำนวนตั้งแต่ต้น และแรงงานบางกลุ่มยังไม่มีรายได้ประจำ ทำให้ไม่สามารถซื้อประกันได้ทันที
“กลุ่มที่ทำงานมีรายได้ควรจะซื้อประกัน แต่กลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยติดเตียง จะต้องมีการดูแลต่อเนื่องด้วยระบบประกัน”
นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์
สำหรับความยั่งยืนในการดูแลสุขภาพนั้น นพ.ธวัชชัย ชี้ว่า โรงพยาบาลจะเน้นให้แรงงานทั่วไปเริ่มทำงานก่อน แล้วค่อยเริ่มซื้อประกันหลังจากมีรายได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่จะทำให้ระบบประกันครอบคลุมและยั่งยืน
ในประเด็นการปิดศูนย์พักพิงฯ นพ.ธวัชชัย มองว่าเป็นไปได้หากมีการขึ้นทะเบียนแรงงานทั้งหมดอย่างครบถ้วน เพื่อควบคุมและติดตามสถานะประชากรอย่างชัดเจน แต่ก็ยอมรับว่า กลุ่มผู้พักอาศัยบางส่วนมีความผูกพันกับพื้นที่และอาจไม่ต้องการกลับบ้าน การปิดศูนย์ฯ จึงต้องเป็นไปอย่างมีขั้นตอน
นอกจากนี้ โรงพยาบาลเริ่มใช้เทคโนโลยีสแกนนิ้วมือ สแกนหน้า และม่านตา เพื่อติดตามผู้พักอาศัย แต่ยังมีข้อจำกัดหากข้อมูลไม่เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
“การปิดศูนย์ต้องเริ่มจากการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ครบทุกคน จัดระบบให้สามารถทำงานและเข้าถึงบริการสุขภาพได้จริง ข้อมูลผู้พักอาศัยต้องแม่นยำเพื่อวางแผนการดูแลต่อไป”
นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์
- อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดแผนดูแลผู้หนีภัยเมียนมา สธ. เตรียมงบฯ 160 ล. รองรับกว่า 2 แสนคน

‘รพ.ท่าสองยาง’ เผย เรียกเก็บค่ารักษาไม่ได้กว่า 10 ล้าน/ปี
ผอ.รพ.ท่าสองยาง ยังเปิดเผยสถานการณ์การจัดประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ว่า ที่ผ่านมา การซื้อประกันสุขภาพของกลุ่มแรงงานข้ามชาติเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ทำงานเกษตรตามฤดูกาล ไม่ได้ทำงานต่อเนื่องทั้งปี ทำให้รายได้ไม่แน่นอน นายจ้างจึงไม่ซื้อประกันให้
“แรงงานที่มีรายได้ประจำ เช่น ทำงานร้านอาหารหรือโรงงาน อาจมีโอกาสซื้อประกันได้ แต่กลุ่มเกษตรกรส่วนใหญ่แทบไม่สามารถซื้อประกันเองได้”
นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์
ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติในพื้นที่หลายหมื่นคน แต่ผู้ซื้อประกันสุขภาพของโรงพยาบาลยังไม่ถึง 100 คน การซื้อประกันต้องตรวจสุขภาพก่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 บาท และค่าประกันรายเดือนอีกประมาณ 2,200 บาท ซึ่งบางรายใกล้เคียงกับเงินเดือนทั้งหมด ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญ
นพ.ธวัชชัย ระบุว่า ประกันสุขภาพที่รัฐพยายามผลักดันเพื่อแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายที่เบิกไม่ได้ อาจยังไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม แรงงานบางกลุ่มจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ หรืออาจต้องมีการสนับสนุนบางส่วนจากรัฐหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
“กลุ่มแรงงานที่มีรายได้และถูกบังคับให้ทำประกันโดยนายจ้าง น่าจะช่วยเพิ่มการเข้าระบบ แต่กลุ่มเกษตรกรหรือแรงงานที่ทำงานไม่ต่อเนื่อง โอกาสซื้อประกันยังยาก”
นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์
สำหรับค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลต้องแบกรับจากแรงงานที่ไม่สามารถเบิกประกันได้ นพ.ธวัชชัย ประเมินว่า ประมาณ 10 ล้านบาทต่อปี ไม่รวมค่าใช้จ่ายจากผู้พักอาศัยในศูนย์อพยพ
นอกจากนี้ แรงงานในศูนย์บางคนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลท่าสองยาง เช่น กรณีคลอดปีละประมาณ 800 คน โดยเฉพาะกรณีผ่าคลอด ซึ่งโรงพยาบาลต้องรองรับและจัดบริการให้
นพ.ธวัชชัย ยังบอกด้วยว่า มีคนจากฝั่งเมียนมาที่ข้ามมาใช้บริการที่ โรงพยาบาลฝั่งไทย ก็เป็นอีกกลุ่มที่เรียกเก็บค่ารักษาไม่ได้ จึงพยายามประสานงาน และช่วยเหลือ ส่งเสริมโรงพยาบาลฝั่งเพื่อนบ้าน เพื่อช่วยแบ่งเบาการรักษาผู้ป่วย
ช่องโหว่ท้องถิ่นดูดเงินผู้หนีภัย ไหลออกนอกระบบรัฐ
The Active ได้รับข้อมูลว่า การดำเนินการเพื่อขอทำบัตรเลขศูนย์ ยังมีช่องทางผ่านกระบวนการในระดับท้องถิ่นที่ไม่เป็นระบบทางการ แต่มีการเรียกรับค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาท ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม และนำไปสู่ปัญหาความซ้ำซ้อนทางทะเบียนที่พบปัญหาในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน เงินที่ถูกเรียกเก็บก็ไม่เข้าสู่ระบบภาครัฐเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ทั้งที่โดยหลักแล้ว กำลังทรัพย์ของกลุ่มผู้หนีภัย ควรถูกจัดสรรเข้าสู่ระบบที่โปร่งใส เช่น ระบบประกันสุขภาพ ที่สามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมในการดูแลรักษาโรคและสุขภาพ แต่กลับถูกใช้ไปกับกลไกที่ไม่เป็นทางการในพื้นที่ท้องถิ่น ทำให้เงินรั่วไหลและไม่ถูกนำมาใช้เพื่อสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนดังกล่าวยังเป็นเพียงคำกล่าวอ้างจากกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้นเช่นกัน