ปัดตกกฎหมายสำคัญ นโยบายเศรษฐกิจสีเขียวลวงโลก แต่เบื้องหลังเอื้อนายทุน แม้ผังเมือง หรือ EIA ก็ยกเลิกได้
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2565 นิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนด้านสิ่งแวดล้อม พรรคก้าวไกล กล่าวว่า แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว แต่ต้องบอกว่า 8 ปีที่ผ่านมาได้ทิ้งมรดกความชั่วร้ายไว้มากมายซึ่งยังคงยากจะฟื้นได้ นอกจากจะมีรัฐบาลที่มาจากประชาชนโดยแท้จริงมาบริหารเท่านั้น ไม่ใช่ลูกครึ่งแต่งตั้งมาช่วยเลือกรัฐบาลอย่างทุกวันนี้
สำหรับในด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งตนติดตามมาตลอด ต้องถือว่าเป็น 8 ปีแห่งความพังทลายเช่นกัน ในขณะที่ปัญหาโลกร้อนและความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกที แต่รัฐบาลนี้กลับมีแต่การสร้างเศรษฐกิจสีเขียวแบบลวงหลอก ปากอ้างปกป้อง แต่แท้จริงทำลายและหาประโยชน์ครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่าง EEC ที่มีแต่ขายฝัน กระจุกผลประโยชน์เพื่อนายทุนใหญ่และกองทัพเท่านั้น ส่วนพี่น้องประชาชนถูกไล่ที่ มีการเปลี่ยนสีผังเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์จากราคาที่พุ่งสูงในที่ดินพวกพ้อง ซ้ำยังจะมีโครงการถมทะเลมาบตาพุด 1,000 ไร่ ที่ส่งผลกระทบกับวีถีชีวิตผู้คน แย่งชิงฐานทรัพยากรทางทะเล ทำให้ต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล โดยไม่มีการจัดสรรงบ เพื่อเยียวยาและชดเชยให้ประชาชน และดีไม่ดี หากแลกกับทรัพยากรที่ถูกทำลาย การฟื้นฟูกลับมาอาจยากและต้องเสียเงินในการดูแลผลกระทบมากกว่าเศษกำไรที่ตกลงมาเสียอีก
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายนโยบายที่ทำให้กลไกการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอ่อนแอลงด้วย เช่น คำสั่ง คสช.4/2559 และ 9/2559 ที่ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง และการทำ EIA นำไปสู่การปล่อยผีโรงงานสร้างมลพิษ สะสมสารเคมีอันตรายใกล้ชุมชนได้ ดังที่เกิดเหตุไฟไหม้โรงงานหมิงตี้จนต้องมีการอพยพประชาชน รวมถึงการหาประโยชน์จากการสร้างโรงงานขยะจนทำให้ไทยกำลังกลายเป็นบ่อขยะโลก เป็นต้น
“ผมเองได้เสนอ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เข้าไป ซึ่งสภาบรรจุในวาระการประชุมมานับปีแล้ว แต่ถึงวันนี้ก็ไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาในสภาเสียที นี่จึงเป็นอีกปัญหาที่เกิดจากการมีอำนาจของรัฐบาลนี้”
ยังมีอีกหลายกรณีที่นโยบายของรัฐบาลนี้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่กลับปัดตกหรือดองเค็มกฎหมายที่มีประโยชน์ที่จะมาช่วยสร้างเครื่องมือและกลไกดูแลประชาชรให้เข้มแข็งขึ้น เช่น กฎหมาย PRTR ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล
นิติพล ทิ้งท้ายว่า 8 ปี จึงเป็นเวลาที่นานพอแล้วกับตัวการทำลายสิ่งแวดล้อมกลุ่มนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลในเครือข่ายเดียวกันไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันโครงการผันน้ำยวม ที่จะส่งผลต่อป่าและพี่น้องชาติพันธุ์ หรือ พล อ.อนุพงษ์ ที่เป็นฆาตรกรชายฝั่ง
ด้วยการผลักดันให้มีการสร้างเขื่อนโครงสร้างแข็งบนชายหาดสวยงามหลายแห่งด้วยข้ออ้างที่บิดเบือนหลักวิชาการว่ามีการกัดเซาะชายฝั่ง ทั้งที่บางแห่งเป็นวงจรบางช่วฝเวลาของธรรมชาติเท่านั้น
“8 ปี มานี้ ความเข้มแข็งในทุกด้านของประเทศได้ถูกคนกลุ่มนี้ที่ทำตัวเหมือนปลวก คอยแทะทำลายอย่างตะกละตะกลามจนผุกร่อนไปมาก โครงสร้างที่เคยแข็งแรงจึงง่อนแง่นเต็มที มีแต่รังจอมปลวกที่ใหญ่ขึ้น ปลวกพวกนี้ หากไม่รีบกำจัดทำลายให้ถึงรากถึงโคนแล้วซ่อมโครงสร้างใหม่ เห็นทีบ้านหลังนี้คงจะพังครืนลงมาในสักวัน จึงถึงเวลาที่ควรจะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนได้แล้ว”