ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แต่รอลงอาญา 2 ปี ‘แสงเดือน’ รอดคุก แต่เสียที่ดินทำกิน สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือย้ำจุดยืนยกระดับกฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้-ที่ดิน
วันนี้ ( 28 ก.ย. 2565 ) แสงเดือน ตินยอด หรือ วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง หญิงวัย 55 ปี ชาวบ้านแม่กวัก ต.บ้านอ้อน อ.งาว จ.ลำปาง เข้ารับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ณ ศาล จ.ลำปาง ในคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่โป่ง ซึ่งเครือข่ายภาคประชาชน ย้ำว่า เป็นผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า โดยมีเครือข่ายภาคประชาชนร่วมให้กำลังใจ
ก่อนเข้ารับฟังคำพิพากษา นางแสงเดือน และตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ร่วมกับเครือข่ายประชาชนหลายกลุ่ม ตั้งขบวนข้างศูนย์ราชการ จ.ลำปาง และเดินขบวนไปยังศาล จ.ลำปาง เพื่อส่ง แสงเดือนและทนายความเข้าฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ก่อนเข้าไปในศาล แสงเดือน กล่าวว่า หากตนไม่ได้ออกมา ขอฝากบอกประชาชนทุกคนที่เป็นกำลังใจว่าขอบคุณมาก เราได้ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว
กระทั่งประมาณ 10.30 น.เครือข่ายที่ปักหลักได้รับแจ้งข่าวจากทนายความว่า ศาลฎีกามีคำสั่งให้รอลงอาญา 2 ปี ซึ่งหมายความว่า แสงเดือน ไม่ต้องรับโทษจำคุก แต่ยังไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ ทางคดี จะออกมาแจ้งให้ทราบภายหลัง
12.00 น. แสงเดือน และ สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความจำเลย ออกมาจากอาคารศาลจังหวัดลำปาง พูดคุยชี้แจงต่อประชาชนที่รอฟังผลคำพิพากษาอยู่ข้างนอก จากนั้นสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ รับขวัญแสงเดือน ตินยอด ตามประเพณีของคนภาคเหนือ เพื่อเรียกขวัญที่หายให้กลับคืนสู่ตัว รวมถึงให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหลังจากนี้
แสงเดือน กล่าวหลังรับฟังคำพิพากษา โดยขอบคุณประชาชนที่ให้การสนับสนุน แม้จะไม่ติดคุก แต่การไม่ได้ที่ดินทำกินคืนก็ยังทำให้เสียใจ
“ในนามของผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ต้องขอขอบคุณพี่น้องที่มาให้กำลังใจ รู้สึกสบายใจและดีใจมาก มีพี่น้องเคียงข้างอยู่เสมอ วันนี้ดีใจมากที่ไม่ติดคุก แต่ก็ผิดหวัง ที่ไม่ให้เราเข้าที่ทำกิน เพราะเราไม่มีที่ทำกินแล้ว”
แสงเดือน ตินยอด
กรณี แสงเดือน เกิดขึ้นตั้งแต่ชุมชนบ้านแม่กวัก ถูกประกาศป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่โป่ง ทับที่ทำกินหลังจากนั้นกรมป่าไม้อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์และอยู่อาศัยได้โดยให้สิทธิ สทก.1 แต่เมื่อมีการเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ขณะที่ก็ยังมีการต่อใบอนุญาตทำกินให้ รวมถึงได้รับการส่งเสริมให้ปลูกยางพารา จนหลังมีคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและการหยุดยั้งการบุกรุกทรัพยากรป่าไม้หรือ ‘นโยบายทวงคืนผืนป่า’ เธอจึงถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทและป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่โป่งบังคับให้ตัดฟันยางพาราของตนเอง 2 ครั้ง ในปี 2556 และ 2558 ก่อนจะถูกดำเนินคดีในปี 2561
โดยศาลชั้นต้น มีคำสั่งยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าแสงเดือนทำกินในพื้นที่มาก่อนการประกาศเป็นป่าสงวนฯ และกำลังดำเนินตามนโยบาย ‘โฉนดชุมชน’ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 และยังได้รับการผ่อนผันตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 อย่างไรก็ตามศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น สั่งจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยเจตนา และเรียกค่าเสียหาย 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2561 รวมทั้งให้แสงเดือน ออกจากพื้นที่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง จนในวันนี้ (28 ก.ย. 2565) ศาลฎีกาได้มีการอ่านคำพิพากษาในที่สุด
ทนาย ย้ำ แม้รอดคุก แต่ไม่เป็นคุณแก่ชาวบ้าน กฎหมายนิรโทษกรรมคดีทรัพยากรคือคำตอบ
สุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ในฐานะทนายความจำเลย ชี้แจงว่าศาลยืนยันว่า ที่ทำกินของแสงเดือน อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่โป่ง โดย พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ได้ระบุแล้วว่าก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติได้มีการเปิดโอกาสให้ราษฎรไปคัดค้านแล้ว แต่ในระหว่างนั้นชาวบ้านไม่ได้ไปคัดค้านภายใน 120 วัน ถือว่าสละสิทธิ์ ซึ่งจากที่ทำกินมาจากรุ่นพ่อแม่ ศาลก็มองตามข้อกฎหมายว่ามีความผิด
รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิ.ย. 2541 และคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ที่ศาลชั้นต้นได้ใช้ในการพิจารณายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นแค่นโยบาย ไม่สามารถหักล้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติได้ จึงยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำคุก 1 ปี ปรับ 400,000 บาท ดอกเบี้ยลดเหลือร้อยละ 5 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมในชั้นศาลอุทธรณ์ 7.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ให้รอลงอาญาเอาไว้ก่อน และมีค่าปรับในคดีอาญา 50,000 บาท ซึ่งแม้จะรอลงอาญา ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องติดคุก แต่ก็ไม่ใช่คำพิพากษาที่เป็นคุณกับชาวบ้าน
“สะท้อนว่าคดีป่าไม้ตอนนี้ ถ้าสมัยรุ่นพ่อแม่ไม่เคยไปคัดค้านเขาจะถือว่าผิด ไม่ว่าจะยาวนานแค่ไหนก็ผิดอยู่ดีซึ่งสำหรับผมเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ว่าไม่มีแนวนโยบายอะไร หรืออำนาจบริหารคุ้มครองได้ แล้วประชาชนจะเอาอย่างไร ฝ่ายนโยบายไม่มีความชัดเจนเรื่องนี้ แล้วชาวบ้านอยู่ในนี้ต้องทำอย่างไร มันหมายความว่าหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะจับชาวบ้านคนไหนก็ได้เหมือนเดิม“
สุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น
สุมิตรชัย ย้ำว่า มีความจำเป็นต้องเคลื่อนเรื่องนโยบายต่อ โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ซึ่งกรณีนี้ชัดเจนมากแล้วว่า ในอนาคตจะหนักหน่วงมากหากไม่มีกฎหมายมารับรอง
ผู้แทนสกน.-ส.ส.ก้าวไกลยันร่วมดันกฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้-ที่ดิน
สมชาติ รักษ์สองพลู ตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) กล่าวว่า แสงเดือน เข้ามาปรึกษาตน หลังโดนตัดยางพาราไปแล้ว และถูกตกเป็นจำเลยต้องต่อสู้ลำพังอย่างโดดเดี่ยว จึงเข้าสู่สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ขบวนฯ ทำทุกวิถีทางแล้วเท่าที่จะทำได้ ช่วงใกล้อ่านคำพิพากษานี้ตนนอนไม่หลับ เนื่องจากกังวลว่าถ้า แสงเดือนติดคุกขึ้นมาจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้รู้สึกโล่งใจ
“กรณีของพี่แสงเดือน ออกสู่พื้นที่สาธารณะ แต่หลายพื้นที่โดนแบบนี้ เพียงแต่ไม่มีใครรับรู้ ผมดีใจกับพี่แสงเดือน เราคนยากคนจนมาด้วยกันวันนี้ นี่คือชัยชนะของภาคประชาชน มันเห็นแล้วว่ามันมีหนทาง ถ้าเรายังสู้”
ด้าน มานพ คีรีภูวดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและกองทุน ได้เดินทางมาให้กำลังใจแสงเดือน และเข้ารับฟังคำพิพากษา โดยได้กล่าวกับเครือข่ายประชาชนที่มาร่วมให้กำลังใจว่า การผลักดันกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมฯ เป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันหลังจากนี้ และในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะร่วมผลักดันต่อไป
“วันนี้ถ้าหากพี่น้องทั่วประเทศ อยู่ในพื้นที่หลวงแต่กฎหมายประกาศทีหลัง ชาวบ้านอยู่มาก่อน ชุมชนเขาอยู่ชอบด้วยมหาดไทย เพราะมีผู้ใหญ่บ้าน ชอบด้วยสาธารณสุข เพราะมีสถานีอนามัย ชอบด้วยศึกษาธิการ เพราะมีโรงเรียน แล้วทำไมมาผิดที่กระทรวงทรัพฯอันนี้มีปัญหา จึงเป็นเรื่องที่ผู้แทนราษฎรต้องแก้ปัญหาต่อไป”
สกน. แถลงดันข้อเรียกร้องสู่ประชาธิปไตยด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ
สมชาติ รักษ์สองพลู ตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์เรื่อง “ทวงคืนความเป็นธรรม ทวงคืนความเป็นคน ทวงคืนที่ดินและผืนป่าสู่มือประชาชน” โดยระบุว่า แสงเดือน ตินยอดหรือ วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง ชาวบ้านแม่กวัก อำเภองาว จังหวัดลำปาง เป็นเพียงหญิงเกษตรกรคนหนึ่งที่ต้องเป็นเหยื่อนโยบายที่ไม่เป็นธรรม ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี ที่เธอต้องทุกข์ทนจากการถูกเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช บังคับให้ตัดฟันต้นยางพาราของตนเอง และเป็นเวลากว่า 4 ปี หลังเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเธอ ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ แม้จะปรากฏหลักฐานในระหว่างการต่อสู้ภายหลังว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์
“แม้ในวันนี้ศาลฎีกาจะมีคำสั่งรอลงอาญา แต่ครอบครัวที่แตกแยก ที่ดินบรรพบุรุษที่สูญเสีย หนี้สินที่ทบทวี ลูกที่ต้องกระเด็นออกจากระบบการศึกษา และอาการซึมเศร้า ล้วนคือวิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ และยังไร้หน่วยไหนเยียวยา”
จากนั้นได้แถลงข้อเรียกร้องด้านที่ดิน-ป่าไม้
1. ผลักดัน “สิทธิชุมชนท้องถิ่น” ในการดูแลจัดการทรัพยากรธรรมชาติตามรัฐธรรมนูญให้บังคับใช้จริงในทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
2. ผลักดันการเปลี่ยนระบบกระบวนการยุติธรรม ไปสู่ระบบที่สร้างความเป็นธรรมกว่าปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคือการเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีความที่เกี่ยวกับปัญหาไม้และที่ดินอันเกิดจากการดำเนินการตามนโยบายรัฐ และในระหว่างรอการออกกฎหมายดังกล่าว ขอให้ยุติการดำเนินคดีชาวบ้านและเยียวยาประชาชนให้ได้รับความธรรมและให้กลับไปทำกินในที่ดินเดิมของตนเองได้
3. ขจัดนโยบายและกฎหมายของเครือข่ายรัฐราชการอำนาจนิยม ที่อาศัยการยึดอำนาจการปกครอง ผลักดันกฎหมายนอกกลไกประชาธิปไตย และผลักดันการสังคายนากฎหมายที่ดิน-ป่าไม้ด้วยอำนาจของประชาชนโดยต้องยกเลิก พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562, พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ที่ออกมาในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และให้ภาคประชาชนได้ร่างกฎหมายจัดการทรัพยากรโดยชุมชนเอง
4. ขจัดอำนาจผูกขาดในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหยุดแนวนโยบายการ “ฟอกเขียว” อ้างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แล้วมาแย่งยึดที่ดิน ปลูกป่าทับที่ทำกินของชุมชน
แถลงการณ์ ยังระบุว่า ข้อเรียกร้องทั้งหมดเพื่อสร้างประชาธิปไตยในการจัดการที่ดิน-ป่าไม้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมี ‘รัฐธรรมนูญใหม่’ ที่ร่วมกันเขียนโดยประชาชน