ประเมิน อนาคตการเมืองไทยหลัง APEC

จับตาการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล นักวิชาการ ประเมิน ทิศทางการเมืองหลังจากนี้อาจะมีการยุบสภา ปลายธ.ค.- ต้น ม.ค.ชิงความได้เปรียบทางการเมือง

จากคำให้สัมภาษณ์ ของสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หนึ่งในแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า การประชุม เอเปกมีความสำคัญทั้งเรื่องข้อตกลง การหารือทางการค้า รวมถึงความร่วมมือของแต่ละประเทศ ส่วนเรื่องการเมือง ​หลังการประชุมเอเปก คงจะมีความชัดเจน

จนวิเคราะห์กันว่า คำพูดดังกล่าวของ “สุชาติ” เป็นการตอกย้ำ ความไม่ลงรอยกันภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีหลายขั้วหลายกลุ่มมารวมตัวกัน และจะมีผลต่อเนื่องไปถึงการตัดสินใจย้ายพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าจะไปต่อกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรณณ

เช่นเดียวกับแกนนำกลุ่มสามมิตร ​สมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ที่รอตอบถึงความชัดเจนในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งตัวแปรสำคัญที่มีต่อการตัดสินใจของแกนนำพรรคพลังประชารัฐ อยู่ที่ จุดยืนของส.ว. 250 เสียง ที่ยังมีผลต่อการเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ส่วนกระแสการยุบสภาเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ยังมีหลากหลายความเห็น โดยในมุมมองของ ผศ.สุวิชา เป้าอารี ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” คาดว่า น่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เพราะหากทอดเวลาออกไป จะยิ่งทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลลดลง เว้นแต่นายกฯ จะมีวิธีการกดคะแนนฝ่ายตรงข้าม

“คิดว่าควรจะมีการยุบสภาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นคะแนนมันจะไม่สูสี มันจะกลายเป็นว่าอีกพรรคหนึ่งมันจะเริ่มวิ่งไปเรื่อย ๆ หรือแนวโน้มคะแนนนิยมเพิ่มเรื่อย ๆ ผมมองว่าสักปลายธันวาคม ต้นมกราคมควรจะยุบสภาได้แล้วเพื่อจัดการเลือกตั้ง เพราะเวลาต่อจากนี้ไป กว่าจะถึงธันวาคมก็เดือนครึ่ง หรือ กุมภาพันธ์ ก็สองเดือน ซึ่งสองเดือนคะแนนนิยมมันไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

ผอ.นิด้าโพล ยังเปิดเผยว่า จากประสบการณ์การทำโพลการเมือง พฤติกรรมการเลือกผู้แทนฯ ของประชาชน จะยึดติดกับตัวบุคคล ส่วนนโยบายและพรรค จะเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ เว้นแต่ครบ 3 องค์ประกอบ ก็บอกได้เลยว่า “ลอยลำ” ส่วนระบบการเลือกตั้ง จะบัตรใบเดียวหรือ 2 ใบ พบว่า ประชาชนร้อยละ 80 จะเลือกไปทางเดียวกัน และร้อยละ 20 จะเลือกแยก ระหว่างผู้แทนฯ กับพรรคการเมือง