‘บิ๊กโจ๊ก’ สั่งทุกภาคส่วนในพื้นที่ เดินหน้ารื้อถอนแนวรั้วปิดทางเข้า-ออกโรงเรียน เตรียมประชุมคณะทำงานชุดย่อย ตรวจสอบเดินหน้าเพิกถอนที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 11 ย้ำเจ้าหน้าที่ เร่งแก้ปัญหา ตามกฎหมายและหน้าที่ หากไม่ทำถือว่าละเลย ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
วันนี้ (30 ม.ค.66) พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะเป็นครั้งที่ 2 โดยได้ประชุมหารือร่วมกับตัวแทนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ภายหลังการประชุม พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ แถลงต่อสื่อมวลชนว่า นอกจากการหารือร่วมกับทุกภาคส่วน วันนี้มี ณฐพร โตประยูร ที่ปรึกษาของปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งวางแนวทางในการสืบสวนสอบสวน ไล่เรียงเอกสารต่าง ๆ มาด้วย โดยเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว และพบความก้าวหน้าในที่ดินที่เตรียมจะออกน.ส.3 ที่เกินมา 60 ไร่ ซึ่งตอนนี้เจ้าตัว หรือผู้ที่เตรียมจะออกเอกสาร ก็ยอมรับแล้วว่าเป็นส่วนที่เกินมา ดังนั้นก็ต้องลงมาดูในส่วนของ น.ส.3 เลขที่ 11 ที่มี 80 ไร่
ทั้งนี้ จากสัปดาห์ที่แล้วกรมอุทยานฯ ได้ดูแผนที่พบมีบุกรุก 5 จุด และสำรวจเพิ่มอีก 3 จุด รวมเป็น 8 จุด ดังนั้นในส่วนของ 60 ไร่ พบการบุกรุกถึง 8 จุด ได้มีการเรียกตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของอาคารสถานที่โรงแรมต่าง ๆ ที่บุกรุกมาแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว
อีกส่วนสำคัญ คือการบังคับคดี 44 คดี ที่กรมอุทยานฯ ได้มีการดำเนินคดีกับผู้บุกรุก ในจำนวนนี้ 22 คดี ศาลฎีกาได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว และใน 22 คดี มี 8 คดี ที่ยังไม่ยอมเพิกถอนสิ่งปลูกสร้าง จึงต้องอาศัยอำนาจของกรมบังคับคดี ร่วมกับกรมอุทยานฯ มาชี้จุดร่วมกัน ในการที่จะปักป้ายเพื่อแจ้งให้ออกจากพื้นที่ ถ้าภายใน15 วัน ยังไม่ยอมออกจะดำเนินการรื้อถอนต่อไป โดยผู้บุกรุกทั้งหมดต้องถูกดำเนินคดีอาญาทั้งหมด
ส่วนที่ดินที่มีปัญหาว่าจะบินหรือเกินออกมา วันนี้ได้ยืนยันแผนที่ตรงกันแล้วในมติที่ประชุม เพราะฉะนั้นแผนที่ที่มีการยืนยัน คือแผนที่ที่ได้ใช้ผู้เชี่ยวชาญ ภาพถ่ายทางอากาศของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และกรมอุทยานฯ และได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้กรมที่ดินแล้ว ส่วนนี้ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย จะได้ดำเนินการประสานทางปลัดกระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการเพิกถอน ในการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61/1 เพื่อดำเนินการเพิกถอนที่ดินส่วนที่เกินที่งอกมา
“ส่วนเรื่อง น.ส.3 เลขที่ 11 ทั้งหมด ทาง ณฐพร จะเรียกประชุมชุดย่อย และดำเนินการเพิกถอน โดยตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61/1 เพื่อดำเนินการเพิกถอนทั้งหมด โดยไม่ต้องรอศาล เพราะถ้ารอศาล ก็ต้อง 2-3 ปีวันนี้ยึดเอกสารรัฐทั้งหมด เมื่อผิดจากเอกสารรัฐก็สามารถดำเนินการได้เลย“
ในกรณีพื้นที่ปัญหา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้องเรียนมา เรื่องการสร้างประตูกั้น หรือรั้วกั้นทางเข้าออกโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง (บ้านเกาะหลีเป๊ะ) ส่วนนี้เป็นความรับผิดชอบของกรมธนารักษ์ วันนี้ทางกรมธนารักษ์ก็ชี้แล้วมีการบุกรุกพื้นที่ของรัฐ 5 จุด คือจุดหมายเลข 1 ผู้บุกรุก เป็นรีสอร์ท, จุดที่ 5 ก็เป็นรีสอร์ท, จุดที่ 4 เป็นร้านค้า ,จุดที่ 3 คือเส้นทางพื้นที่สาธารณะตรงประตูรั้วที่เอกชนสร้างล้ำเข้ามาในพื้นที่ และตรงหมายเลข 2 เป็นบริเวณพื้นที่ร้านก๋วยจั๊บ เพราะฉะนั้นส่วนนี้ก็จะเรียกตัวผู้บุกรุกมาดำเนินคดีอาญาเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งดำเนินการร่วมกันในส่วนของท้องถิ่น เพื่อให้มีการดำเนินการเพิกถอน
“วันนี้เมื่อทราบแล้วใครบุกรุก เดี๋ยวจะเรียกตัวผู้บุกรุกมาดำเนินคดี ในคดีบุกรุกที่ดินรัฐ ส่วนเรื่องการเพิกถอนมอบหมายให้ปลัดอำเภอ และผู้การจังหวัด ท้องถิ่น เชิญเจ้าของมาคุยก่อน เพื่อจะให้รื้อส่วนนี้ไป คือวันนี้เรามั่นใจว่าบนเกาะเหล่านี้รู้จักกันหมด แต่ถามว่าทำไมที่ผ่านมาคุยไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเรายังไม่ได้บอกเขาเลยว่าใครผิดใครถูก วันนี้เราต้องชี้ให้ได้ใครรุกใคร ใครล้ำใคร เมื่อวันนี้เราชี้ตรงกันแล้ว ยอมรับกติกาตรงกันแล้ว มีหลักกฎหมายเดียวกัน อันนี้ผมมองว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน บ้านเมืองต้องมีกติกา มีขื่อมีแปร ส่วนนี้จะแจ้งให้เขารื้อถอน ในส่วนรั้ว ในส่วนกำแพงก็ต้องรื้อถอนทั้งหมด “
พล.ต.อ. สุเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลักในการดำเนินการวันนี้ ต้องให้ที่ดินของรัฐกลับมาเป็นที่ดินของรัฐ ส่วนกรมอุทยานฯ จะไปบริหารยังไง จะให้ประชาชนมีบ้านถิ่น หรือมีอาคารบ้านยังไง เป็นส่วนของรัฐที่ต้องไปบริหารวันนี้เราต้องเริ่มจากการเซ็ตเป็นศูนย์ทั้งหมด แล้วจากนั้นที่ดินแต่ละความรับผิดชอบ ก็ต้องไปบริหารเอา แต่หลักสำคัญคือต้องยึดประชาชนเป็นหลัก
เหตุการณ์ที่ผ่านมา 30 -40 ปี วันนี้ต้องบอกว่าชุดคณะทำงานชุดนี้เราจะใช้เวลาไม่นาน เราลงมาแค่ 2 สัปดาห์เราต้องทำให้เห็นก่อนว่าใครบุกรุกใคร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ว่ากันตามเอกสารรัฐ ซึ่งสาเหตุของปัญหานี้ เมื่อเราศึกษาดู ปัญหาเริ่มตั้งแต่ 2497 เมื่อมีการออกพ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน แน่นอนชาวถิ่น ด้วยความที่ไม่มีความรู้บ้าง รู้ไม่เท่าทัน ก็ไม่ได้ไปออกโฉนดร่วมกับเจ้าที่ดิน ก็ทำให้มีการถือครองที่ดินโดยบุคคลภายนอก จากนั้นก็มีการบุกรุก มีการสร้างสิ่งปิดกั้น ทำให้ไม่สามารถมีทางออกลงทะเลได้ หรือก็ไม่มีทางที่สามารถเดินทางเข้าออกโรงเรียนตามที่เห็นทุกวันนี้ได้ และต้องมีการรื้อกระท่อมซ่อมเรือออกไป เพราะฉะนั้นต้องเรียนว่าทุกกรมเจตนาเดียวคือเจตนาที่จะให้สิทธิของผู้ที่มีสิทธิ
อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของโรงแรม ที่มีการก่อสร้างโดยไม่มีใบอนุญาตพบร้อยกว่าแห่ง เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีใบอนุญาตก็ต้องรื้อถอนทั้งหมด คือจะสร้างได้ต้องมีใบอนุญาต วันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามหลักของกฎหมาย คือบังคับใช้กฎหมายโดยเท่าเทียมกัน
ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องไล่ต่อว่าหลังกรมที่ดินได้เพิกถอนไปแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ดินคนไหนที่ออกเอกสารสิทธิ ก็ต้องเป็นเรื่องการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ก็เป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมทั้งย้ำเตือนเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติหน้าที่แก้ปัญหาเรื่องนี้ตามบทบาทหน้าที่
“ในส่วนของท้องถิ่น นายกอบต. นายอำเภอ ปลัดอำเภอ วันนี้ก็ต้องฝากเตือนว่าท่านต้องไปทำหน้าที่ การที่มีโรงแรมแล้วท่านไม่เพิกถอน การที่มีการบุกรุกลำลางสาธารณะ หรือมีโรงแรม ท่านบอกท่านปรับทุกวัน ท่านปรับแค่ 10 โรงแรม ใน 100 โรงแรม อย่างนี้เท่ากับเข้าข่ายเรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ก็ต้องเรียนมาสุดท้ายพนักงานสอบสวนที่ตนตั้งไว้ ก็ต้องดำเนินคดีตรงนี้ทั้งหมด ตั้งแต่นายอำเภอ นายกอบต. ก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย ใครมีหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่ให้ประชาชน ก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่“
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงปัญหาเรื่องลำลางสาธารณะ ว่าถ้าไม่แก้ไขปัญหา น้ำจะท่วมเกาะ เกาะจะกลายเป็นเกาะขยะ เหม็นทั้งเกาะ เพราะไม่มีทางระบายน้ำเสีย เพราะฉะนั้นวันนี้เมื่อพบแล้วว่ามีลำลางสาธารณะอยู่ 3 จุดส่วนนี้ตนจะนัดประชุมกับ ณฐพร เอาส่วนเกี่ยวข้องชุดเล็กไปประชุมและชี้ร่วมกัน เมื่อรู้แล้วว่าเป็นจุดไหน จะได้รื้อถอน เพื่อให้มีทางระบายน้ำ ดังนั้นวันนี้ถ้าจะแก้ไขปัญหาบนเกาะหลีเป๊ะแบบครบวงจร
ระหว่างคณะทำงานลงพื้นที่ ตัวแทนชาวเลอูรักลาโว้ย ได้มาติดตามให้กำลังใจพร้อมทั้งชูป้าย ที่มีข้อความระบุย้ำ ให้คณะทำงานแก้ไขปัญหาไปให้ถึงการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ