เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญแถลงจี้ “สว. ต้องหยุดให้ความเห็นชอบองค์กรตรวจสอบตัวเอง” จนกว่าข้อกล่าวหาจะสิ้นสุด ด้าน ‘อนุสรณ์’ ระบุฝากความหวังกับ สว.ชุดนี้ไม่ได้ ชี้กติกาในรัฐธรรมนูญ 60 วางอำนาจ สว.ไว้แน่นหนา วอนประชาชนออกมาขับเคลื่อนเปลี่ยนกติกาใหม่
วันนี้ (29 พ.ค.2568) ที่บริเวณรัฐสภา เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ หรือ Conforall รวมตัวกันเพื่อชวนประชาชนส่งเสียงเรียกร้องไปถึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.)ให้หยุดใช้อำนาจให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรตรวจสอบทุกตำแหน่งที่จะมีส่วนกับการตรวจสอบที่มาของ สว.
ชี้ว่า สว. 2567 ที่มาจากระบบแบ่งกลุ่มเลือกกันเองราว 50-100 คน อยู่ระหว่างถูกสอบสวนโดย กกต.ในคดีการโกงเลือก สว.ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความชอบธรรมว่า สว.สมควรให้ความเห็นชอบกับองค์กรที่จะตรวจสอบตนเองระหว่างที่มีคดีโกงเลือก สว.ของตนเองหรือไม่
เครือข่ายภาคประชาชนยืนยันว่า สว.ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ในส่วนนี้ และต้องเร่งคืนความเชื่อมั่นให้ประชาชนด้วยการ “แก้ปัญหาที่ต้นตอ” ผ่านการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อแก้ที่มา สว. และที่มาขององค์กรตรวจสอบ โดย สว.ต้องโหวตเห็นชอบ 67 เสียง โดยเนื้อหาในแถลงการณ์มีดังนี้

สว.ชุดแรกที่มาจากการ “เลือกกันเอง” ในบรรดาผู้สมัคร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถาม ถึงความโปร่งใสจากกรณี “โกงเลือก สว.” ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังทยอยออกหมายเรียกให้ สว.ไปรับทราบข้อกล่าวหาฐานแนะนำตัวฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ของ กกต.ข้อหาให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อให้ลงคะแนน และข้อหาทุจริตหรือรู้เห็นการทุจริตเลือก สว.ซึ่งหากสุดท้ายแล้วผลคำตัดสินชี้ออกมาว่า “ผิด” ก็จะมี สว.ที่ต้องพ้นตำแหน่งไป และอาจจะมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของ สว.ทั้งหมด
ระหว่างที่กระบวนการสอบสวนคดีเลือก สว.ยังไม่แล้วเสร็จ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 สว.ก็กำลังจะใช้อำนาจสำคัญ ในการให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามตำแหน่ง และตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสองตำแหน่ง กกต.หนึ่งตำแหน่ง และอัยการสูงสุดอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ ล้วนมีบทบาทในการ “ตรวจสอบ” สว. โดยตรง
- ป.ป.ช. : มีอำนาจตรวจสอบบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ สว.ว่าเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่
- กกต. : มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติ สว.และเป็นองค์กรสำคัญที่รับผิดชอบคดี “โกงเลือก สว.”
- ศาลรัฐธรรมนูญ : มีอำนาจชี้ขาดว่า สว.จะพ้นตำแหน่งหรือไม่ หากท้ายที่สุดแล้วศาลตัดสินคดีโกงเลือก สว.ว่ามีความผิด
- อัยการสูงสุด : มีบทบาทยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากพบว่า สว.ร่ำรวยผิดปกติ
การใช้อำนาจเห็นชอบบุคคลในตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ 2560 แต่ก็ขาดความชอบธรรม และเห็นได้ชัดถึงปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่าง สว.ชุดนี้และองค์กรต่างๆ ที่มีอำนาจตรวจสอบ สว.

พวกเรา เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ มีความเห็นและข้อเสนอถึง สว.ดังนี้
1. ข้อเสนอเฉพาะหน้า : สว.ต้อง “หยุด” ใช้อำนาจตลอดกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการองค์กรอิสระ และข้าราชการระดับสูง เช่น อัยการสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการตั้งกรรมาธิการวิสามัญสอบประวัติ หรือการลงมติให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จนกว่าคดีที่ สว.ตกเป็นผู้ถูกร้องจะถึงที่สุด
2. ข้อเสนอระยะยาว : สว.ชุดนี้ เป็นเครื่องชี้วัดว่าระบบเลือกกันเองที่ปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม “มีปัญหา” สว.ต้องคืนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อฝ่ายนิติบัญญัติ “แก้ไขปัญหาที่ต้นตอ” ร่วมกันกับ สส.เสนอร่างแก้ไชรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขที่มา สว.ที่มาองค์กรตรวจสอบ สว.และต้องโหวตเห็นชอบให้ครบ 67 เสียง
เราหวังว่า สว.ที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้งโดยประชาชน แต่ใช้อำนาจในฐานะ “ตัวแทน” ประชาชน จะฟังเสียงประชาชน หยุดใช้อำนาจเลือกองค์กรตรวจสอบตนเอง จนกว่ากระบวนการตรวจสอบ สว.จะถึงที่สุด
ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา ยื่นหนังสือถึง มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ขอให้ชะลอการตั้งกรรมาธิการสามัญ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการประพฤติ รวมถึงจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
โดย เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ในฐานะ สว.เสียงส่วนน้อย มีเหตุการณ์ที่ไม่สบายใจเรื่องคดีฮั้ว สว.จึงอยากให้ประชุมวุฒิสภาวันที่ 30 พ.ค.นี้ ชะลอการตรวจสอบองค์กรอิสระเอาไว้ จนกว่าจะมีการตรวจสอบ สว.ที่ถูกตั้งคดีฮั้วสำเร็จ การชะลอนี้ สามารถให้องค์กรอิสระที่จะหมดวาระรักษาการต่อได้ไม่ส่งผลกระทบในการทำงาน
รศ.อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในรายกาย Policy Watch จับตาอนาคตประเทศไทย ทางช่องไทยพีบีเอส ว่า หลังจากมีรัฐธรรมนูญปี 2560 สิ่งที่พบคือบรรดา สว.และองค์กรอิสระ เป็นองคาพยพเดียวกัน มีการกระทำการอะไรบางอย่าง ซึ่งหลายกรณีขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชน ไม่ว่าประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือกมาก็ถูกออกแบบมาแล้ว อีกทั้งมีข้อครหาว่าไม่มีความชอบธรรมมากพอที่จะเลือกองค์กรอิสระได้
ตั้งแต่การพลิกผันทางการเมืองที่ผ่านมาทำให้ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ และ สว.ไม่ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ถ่วงดุล เท่ากับการเป็นกลุ่มก้อนทางการเมืองที่หนุนเสริมขั้วอำนาจใดอำนาจหนึ่ง

ถ้าถามว่าเราควรจะคิดกับ สว.ชุดนี้อย่างไร ? อนุสรณ์ มองว่า โจทย์ต้องไปไกลกว่าว่าเขามีความไม่ชอบธรรม มัวหมอง จนไม่สามารถเลือกองค์กรอิสระได้ อาจจะต้องคิดไปถึงความจำเป็นว่าต้องมี สว.อยู่หรือไม่ ถ้ายังจำเป็นต้องมี สว.บทบาทหน้าที่ของ สว.ต่อไปควรเป็นอย่างไร
นอกจากการกลั่นกรองการแก้รัฐธรรมนูญ การพิจารณากฎหมาย การรับรององค์กรอิสระ การถ่วงดุลกับพรรคการเมือง เป็นต้น แล้วถ้าเกิดว่ายังจำเป็นต้องมี สว.คำถามต่อไปคือที่มาของ สว.ควรจะเป็นอย่างไร บทบาททั้งหมดจะมีความชอบธรรมก็ต่อเมื่อมีความยึดโยงกับประชาชน
“ตกลง สว.ในอุดมคติที่เป็นอิสระ ที่ปลอดจากพรรคการเมือง เป็นได้แค่ไหน”
มีประสบการณ์ในหลายประเทศ ถึงแม้จะแตกต่างจากประเทศไทย แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า เขาก็สามารถที่จะประกาศตัวได้ว่าตัวเองมาจากพรรคการเมืองไหน ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับสังคมว่าจะตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกอีกที แต่ก็ต้องออกแบบให้มีการถ่วงดุลกันได้ ไม่ต้องปลอดการเมืองแบบไทย
มองในอีกฝากหนึ่งที่อยากให้ สว.ปลอดจากการเมือง เพื่อเอื้ออำนวยให้ตัวเองมีอิทธิพลเหนือการเมือง แล้วแทรกตัวเข้าไป ส่วนอีกประเด็นคือ เปิดโอกาสให้กับคนที่มีความได้เปรียบทางการเมืองในการเข้ามาล้วงลูกในองค์กรที่ปลอดการเมือง
“พอเราพูดอะไรที่เป็นอุดมคติ แล้วเป็นไปได้ยาก มันก็เอื้อต่อการทุจริต และการฉ้อฉล”
พอเป็นรัฐธรรมนูญปี 2560 ค่อนข้างที่จะวางไว้อย่างแน่นหนา แทบจะแก้อะไรไม่ได้เลย หนึ่งในนั้นคือต้องมีเสียงของ สว.1 ใน 3 ตอนนี้ถ้าถามว่าเสียงจาก สว.ชุดนี้จะเป็นไปได้มากขนาดไหน คิดว่า โอกาสก็มีจำกัดมาก ๆ เท่าที่เห็นตอนนี้ร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่เสนอเข้าไป ก็จะขอพิจารณาแก้ไขเป็นรายมาตรา แทนที่จะแก้ทั้งฉบับ
“ในเฉพาะหน้าเราคงไม่สามารถฝากความหวังกับ สว.ชุดนี้ได้มากนัก แต่คิดว่าสำหรับคนที่สนใจ ไม่ต้องการตอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คงต้องออกมาช่วยกันส่งเสียงว่าเราต้องการที่จะได้กติกาใหม่ ซึ่งคงไม่สำเร็จในเร็ววัน ต้องใช้เวลา ต้องช่วยกันขับเคลื่อน เพราะไม่เช่นนั้นอำนาจในการตัดสินใจความเป็นไปของบ้านเมืองก็จะตกอยู่ในมือแค่คนไม่กี่กลุ่ม”