กังวล คุม ‘ช่อดอกกัญชา’ ไม่ตอบโจทย์ปัญหา เสี่ยงเปิดช่องจ่ายใต้โต๊ะ

‘สมศักดิ์’ ยัน รัฐไม่คิดปิดกั้น แต่ต้องปรับกติกา เชื่อประกาศ สธ.ไม่กระทบผู้ปลูก ร้านค้า หากทำถูกกฎหมาย ด้าน ‘เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชา’ ชี้ ร้านเสี่ยงเจ๊งในพริบตา ชี้ มาตรฐานล่องหน เกิดความเหลื่อมล้ำ กีดกันรายย่อย ขณะที่ ผู้ค้า หวั่นกลับสู่ยุคใต้ดิน

ภายหลังมี ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2568 กำหนดให้ “ช่อดอกกัญชา” เป็น สมุนไพรควบคุม ใช้เพื่อการแพทย์ และต้องมีใบสั่งแพทย์

The Active ลงพื้นที่ย่านถนนข้าวสาร แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ พร้อมสำรวจบรรยากาศร้านจำหน่ายกัญชา ภายหลังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล ช่อขวัญ ช่อผกา อดีตผู้ประกอบการร้านกัญชา ซึ่งเพิ่งปิดกิจการไป สะท้อนประสบการณ์ตรงถึงความท้าทาย ความไม่เป็นธรรม และอนาคตที่เธอเชื่อว่า “ทุกอย่างจะกลับไปอยู่ใต้ดิน”

“ร้านเราเจ๊งไปแล้ว ปิดมา 3 เดือนก่อนที่ภูมิใจไทย จะถอนตัวจากรัฐบาล เพราะสู้ร้านรอบข้างไม่ได้ หลายร้านมีทุนหนา บางแห่งไม่ใช่เจ้าของคนไทย บางร้านก็ขายของผิดกฎหมาย ทำผิดกฎโดยไม่มีใครตรวจสอบ คนที่ทำตามกฎกลับอยู่ไม่ได้”

ช่อขวัญ ช่อผกา

หวั่นกลับสู่ยุคใต้ดิน นักท่องเที่ยวลด-คนไม่เห่อกัญชาเหมือนเดิม

ช่อขวัญ ยอมรับว่า กระแสนักท่องเที่ยวลดลงตั้งแต่ต้นปี ไม่เพียงแต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปด้วย

“เมื่อก่อนคนมาเที่ยว ตื่นเต้นกับการลองกัญชา แต่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนโรตีบอย คือใคร ๆ ก็เบื่อ คนเริ่มถามว่า เธอยังสูบกัญชาอยู่หรอ ? ความนิยมตกลง แล้วเราก็สู้ราคา สู้โปรโมชันพิลึกพิลั่นไม่ได้ พวกเขาแจกฟรี แถม เราทำไม่ได้”

ช่อขวัญ ช่อผกา

เปิดถูกกฎหมาย กลับเจอร้านผิดกฎหมายบิดเบือนตลาด

ช่อขวัญ ยืนยันว่า ร้านของเธอปฏิบัติตามกฎหมายทุกข้อ ตั้งแต่ขอใบอนุญาตรายเดือน ส่งรายงานดอกกัญชาที่เข้ามา ขายออกไป รวมถึงตรวจบัตรประชาชน หรือพาสปอร์ตผู้ซื้อ

“สิ่งที่ขายได้ตามกฎหมายตอนนี้มีแค่ ช่อดอก ในฐานะวัตถุดิบ ยังไม่รวมการเตรียมสูบ หรือผสมสารอื่น คนที่ทำตามกฎมีต้นทุนสูง แต่ร้านรอบข้างไม่สนใจข้อห้าม ขายกัมมี่ น้ำมัน หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่เข้าข่ายยาเสพติดประเภท 5 โดยไม่มีใครตรวจสอบจริงจัง”

ช่อขวัญ ช่อผกา

ประกาศคุม ‘ช่อดอก’ จ่อบังคับใช้ ‘ผู้ใช้ไม่ผิด แต่ผู้ขายโดนหนัก’

จากการออกประกาศล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุข ที่ควบคุมช่อดอกกัญชาอย่างเข้มข้นนั้น ช่อขวัญ แสดงความกังวลว่า การบังคับใช้กฎหมายอาจไม่ตรงจุด และเปิดช่องให้ตลาดกลับไปใต้ดิน

มันจะเหมือนกับเซ็กซ์ทอยในไทย คือผิดกฎหมายแต่มีขายทุกที่ กัญชาจะกลับไปใต้ดิน คนที่ทำธุรกิจเล็ก ๆ จะถูกกวาดออกจากระบบ เหลือแต่เจ้าใหญ่ที่เข้าถึงหมอ เข้าถึงระบบ มีทุนหนา และรัฐก็ไม่สนใจผู้ใช้จริง ๆ ด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายใครปลูกเองใช้เองก็ยังไม่ผิด มีแค่ร้านที่โดนไล่บี้”

ช่อขวัญ ช่อผกา

ช่อขวัญ ช่อผกา อดีตผู้ประกอบการร้านกัญชา

แนวคิด จำกัด 1 กรัม/วัน ใช้เป็นข้ออ้างปิดร้าน ?

ส่วนกรณีแนวคิดรัฐจำกัดปริมาณการซื้อกัญชาที่ 1 กรัม/วัน หากไม่มีใบรับรองแพทย์นั้น ช่อขวัญ มองว่า เป็นเพียงข้ออ้างในการควบคุมแบบไม่เป็นธรรม เพราะยังไม่มีการออกกฎหมายควบคุมการครอบครอง เพราะกัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เพียงแต่ตอนนี้ เขาจะล็อกแค่ผู้ขาย ถ้าถูกล่อซื้อแล้วไม่มีใบรับรองแพทย์ ก็โดนพักใบอนุญาตทันที และรอบหน้าอาจไม่ได้ต่อด้วยซ้ำ

ช่อขวัญ ย้ำว่า ร้านเล็กๆ ในย่านข้าวสาร แม้จะมีใบอนุญาต ก็อาจถูกกระทบจากนโยบายควบคุมใหม่ เพราะบางร้านถูกตรวจมากกว่าร้านอื่น ๆ ด้วยความที่ย่านนี้เป็นพื้นที่เป้าหมายของเจ้าหน้าที่ บางร้านอาจถูกพักใบอนุญาตแล้วด้วยซ้ำ ไม่ได้ต่อรอบใหม่ การควบคุมแบบนี้ส่งผลรุนแรงต่อผู้ประกอบการที่ทำตามกฎหมาย ทั้งที่คนเหล่านี้คือคนที่ต้องการให้มีระบบควบคุมด้วยซ้ำ

มองปิดทางกัญชาเสรี เข้าจังหวะการเมืองเบี่ยงประเด็นพิพาทชายแดน

ช่อขวัญ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การเร่งออกประกาศควบคุมกัญชา เกิดขึ้นพร้อมกับการถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยจากรัฐบาล และอาจเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นอื่น เช่น ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยช่วงนี้ข่าวกัญชาท่วมสื่อโซเซียลฯ ประเด็นอื่น ๆ หายหมด กลายเป็นว่ารัฐเทความสนใจลงกับกัญชาแทนเรื่องอื่น จังหวะมันเป๊ะเกินไป

ย้ำต้องการ พ.ร.บ. ไม่ใช่ประกาศเฉพาะกิจ

หนึ่งในข้อเสนอสำคัญจากอดีตผู้ประกอบการร้านกัญชา คือ การผลักดัน พระราชบัญญัติควบคุมกัญชา ที่มีมาตรฐานชัดเจน มากกว่าประกาศควบคุมเฉพาะหน้า

“เราบอกมานานแล้วว่าเราต้องการ พ.ร.บ. เพราะตราบใดที่ไม่มี ใครมีอำนาจก็สามารถจัดการกัญชาได้ตามใจ ตัวอย่างคือกระท่อมที่มี พ.ร.บ. แล้ว ถ้าจะเอากลับไปเป็นยาเสพติดก็ต้องผ่านกระบวนการ ไม่เหมือนกัญชาที่แค่ประกาศก็พลิกเกมได้ทันที”

ช่อขวัญ ช่อผกา

ต้องแยก ผู้ค้าเถื่อน-นอมินีต่างชาติ ออกจากคนในระบบ

อีกข้อเสนอที่ ช่อขวัญ ฝากถึงภาครัฐ คือ การแยกแยะผู้ประกอบการในระบบออกจากกลุ่มนอกระบบหรือต่างชาติที่เข้ามาแอบแฝง เพราะหากรัฐต้องการจัดการจริง ๆ ต้องไปดูร้านที่เป็นนอมินีต่างชาติ ที่ส่งออกแบบเถื่อนก่อน ไม่ใช่มารวบหัวรวบหางร้านเล็กในประเทศ ที่จริง ๆ แค่ลืมตาอ้าปากก็เหนื่อยแล้ว

สิ่งที่ ช่อขวัญ ย้ำหลายครั้ง คือ ปัญหาจากกัญชาไม่ได้มาจากตัวพืชหรือผู้ใช้โดยตรง แต่เกิดจาก “การไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่” เช่น ไม่ตรวจสอบร้านค้า ไม่ควบคุมการส่งออก หรือปล่อยให้มีการแฝงตัวจากกลุ่มทุนเถื่อน โดยเชื่อว่ารัฐมีเครื่องมืออยู่แล้ว แต่ไม่ใช้ กลับมาโทษร้านค้าถูกกฎหมาย แล้วก็ใช้เป็นเหตุออกกฎใหม่มาจำกัดสิทธิของคนตัวเล็กในระบบ

ช่อขวัญ ทิ้งท้ายว่า คนในวงการกัญชาจำนวนมาก อยากให้มีกฎระเบียบ ตั้งแต่แรก ไม่ได้ต้องการเสรีไร้ขอบเขต แต่อยากเห็นระบบที่แฟร์และคุ้มครองทั้งผู้ใช้และผู้ไม่ใช้

“เราไม่ได้อยากเป็นขี้ยา เราอยากคุยกับทุกฝ่าย อยากมีเวทีให้คนในสังคมมาถกกันจริงๆ แบบไม่ใช่เวทีการเมือง ไม่ใช่ NGO ที่พูดตามคำสั่งรัฐ แต่คนที่เข้าใจทั้งการใช้ยา และปกป้องคนที่ไม่ใช้ด้วย”

ช่อขวัญ ช่อผกา

ขณะที่มุมมองจาก ประสิทธิ์ชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เปิดเผยในรายการ Flash Talk ย้ำว่า แม้ประกาศดังกล่าวจะมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการใช้กัญชาในทางการแพทย์ แต่กลับละเลยประเด็นสำคัญในการปกป้องเยาวชน และอาจสร้างปัญหาใหม่มากกว่าการแก้ปัญหาเดิม เช่น การให้อำนาจเฉพาะ แพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ตัดสินว่าใครใช้กัญชาได้หรือไม่ เป็นกลไกที่ไม่โปร่งใส และสุ่มเสี่ยงเปิดช่องใต้โต๊ะ เพราะสุดท้ายแล้ว ใครมีเงินจ่าย 3,000 บาท ก็สามารถซื้อใบรับรองแพทย์ได้

ประสิทธิ์ชัย ยังตั้งข้อสังเกตว่า ประกาศฉบับนี้แตกต่างจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2565 อย่างมีนัยสำคัญ เพราะตัดข้อห้ามการจำหน่ายกัญชาให้กับเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี และนักเรียนออกไป กลไกควบคุมที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียง การต้องมีใบรับรองแพทย์ เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่สามารถสกัดการเข้าถึงกัญชาในหมู่เยาวชนได้จริง

“ปัญหาเรื่องเยาวชนเสพกัญชาเพิ่มขึ้น 10 เท่า แต่ประกาศกลับตัดข้อห้ามจำหน่ายให้เยาวชนออก แล้วบอกว่าคุมเข้ม ผมว่ามันย้อนแย้ง”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

‘มาตรฐานล่องหน’ สร้างความเหลื่อมล้ำ-กีดกันรายย่อย

ประสิทธิ์ชัย ยังตั้งคำถามถึงการกำหนด มาตรฐานการปลูก ที่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ของกรมการแพทย์แผนไทย โดยไม่เปิดเผยรายละเอียด โดยคำว่า มาตรฐาน ยังไม่ชัดว่าคืออะไร ถ้าอิงตามแบบเดิมที่เคยใช้ตอนเปิดให้ปลูกกัญชาในทางการแพทย์ เมื่อปี 2562 ซึ่งต้องใช้โรงเรือน มีกล้องวงจรปิด และลงทุนกว่า 2-3 แสนบาท แบบนั้นเท่ากับปิดประตูชาวบ้าน ปิดประตูเกษตรอินทรีย์

ทั้งยังย้ำว่า การปลูกกัญชาในแปลงธรรมชาติ เช่น บนคันนา ในสวนหลังบ้าน เป็นวิถีชุมชนที่ทำมาแต่ดั้งเดิม ไม่ได้เป็นอันตรายหรือทำให้คุณภาพลดลง แต่การออกแบบนโยบายโดยไม่รับฟังผู้ใช้จริง กลับกลายเป็นเครื่องมือขีดกันคนจนออกจากระบบ

ร้านกัญชาเสี่ยงเจ๊ง 90% ในพริบตา ร้านใหญ่ ทุนหนา ได้ไปต่อ ?

เมื่อประกาศฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ร้านจำหน่ายกัญชาที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว จะต้องหยุดจำหน่ายช่อดอก ให้กับบุคคลทั่วไป และจำหน่ายได้เฉพาะผู้ที่มีใบรับรองแพทย์เท่านั้น

“ถ้าเอาจริง ร้านส่วนใหญ่กว่า 90% จะไม่สามารถขายได้ตามกติกาใหม่ทันที และเสี่ยงถูกเพิกถอนหรือชะลอใบอนุญาต เพราะไม่มีระบบรองรับการตรวจใบรับรอง หรือใช้ช่อดอกที่มีที่มาถูกต้องตามมาตรฐาน”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ยังมองว่า ประกาศฉบับนี้จะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กและกลางต้องทยอยปิดกิจการ ขณะที่รายใหญ่ที่มีทุน มีหมอ หรือมีเครือข่ายกับโรงพยาบาล จะกลายเป็นกลุ่มเดียวที่สามารถปรับตัวได้ทัน สุดท้ายจะเหลือแต่กลุ่มทุนใหญ่ และต่างชาติก็ยังเข้ามาแทรกแซงวงการได้ เพราะกฎหมายยังไม่ควบคุมเรื่องสัญชาติผู้ปลูกอย่างจริงจัง ทั้งที่ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฉบับที่ยังไม่ผ่านสภาฯ ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นพืชสำหรับคนไทย

รัฐเลี่ยงปัญหาหลัก ไม่กล้าควบคุม ‘การสูบในที่สาธารณะ’

ประสิทธิ์ชัย ยังวิจารณ์รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข โดยเชื่อว่า มีความพยายามเลี่ยงที่จะจัดการปัญหาหลักจริง ๆ ของกัญชา ซึ่งก็คือการใช้ในลักษณะรบกวนผู้อื่น เช่น การปลูกในพื้นที่ชุมชนแน่นหนา หรือ การสูบในที่สาธารณะ โดยปัญหาที่เจอบ่อยที่สุดคือ กลิ่นรบกวน และควันรบกวน ทำไมกระทรวงไม่ออกประกาศห้ามสูบในพื้นที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร หอพัก หรือแหล่งท่องเที่ยว แต่กลับไปคุมว่าใครควรได้ใช้

ทั้งยังย้ำว่า รัฐควรมีกฎหมายที่ปกป้องสิทธิของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่ใช้แนวคิดแบบควบคุมทั้งหมด แล้วปล่อยให้เกิดการซื้อขายใบอนุญาต หรือเกิดช่องโหว่ที่ไม่ตอบโจทย์ของคนใช้จริง

สิทธิส่วนบุคคล-ภูมิปัญญาท้องถิ่น ถูกลดทอนความสำคัญ

ประสิทธิ์ชัย ยังยืนยันว่า การใช้กัญชาในทางการแพทย์ไม่ควรถูกผูกขาดด้วยการมีใบรับรองแพทย์เท่านั้น เพราะหลายกรณี เช่น ผู้ป่วยพาร์กินสัน ไมเกรน หรือท้องอืด ใช้วิธีสูบเพื่อบรรเทาอาการเฉียบพลัน ซึ่งไม่สามารถรอใบรับรองได้ทัน สังคมไทยต้องเข้าใจว่าการแพทย์ไม่ใช่แค่ใบรับรองจากหมอ การแพทย์คือการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันด้วยภูมิปัญญา และรัฐควรเคารพสิทธิส่วนบุคคลเท่า ๆ กับการป้องกันผลกระทบต่อผู้อื่น

ดังนั้นมองว่า ประกาศฉบับนี้สะท้อนแนวคิด รวมศูนย์อำนาจ โดยไม่ฟังเสียงจากประชาชนผู้ใช้จริง และยังไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญในวงการกัญชาได้อย่างแท้จริง

‘กัญชาทางการแพทย์’ ต้องมีกฎหมายควบคุม ไม่กลับเป็นยาเสพติด

ประสิทธิ์ชัย ยังบอกถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมายควบคุมกัญชาอย่างเป็นระบบ โดยชี้ว่า การใช้กัญชาทางการแพทย์ มีหลากหลายวิธี และทุกวิธีล้วนมีความเสี่ยงที่ต่างกัน จึงต้องใช้ข้อเท็จจริงในการสื่อสารกับสังคม มากกว่าการตัดสินจากภาพจำเพียงบางด้าน

“การใช้กัญชาเข้าสู่ร่างกายมี 3 วิธีหลัก ๆ คือ สูบ กิน และหยดใต้ลิ้น ซึ่งวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ การสูบ เพราะผู้ใช้สามารถควบคุมปริมาณได้ทันที สูบไปหนึ่งนาทีฤทธิ์ก็ออกแล้ว รู้ตัวทันทีว่ายังไหวหรือไม่ ตรงกันข้ามกับการกินหรือหยดใต้ลิ้น ซึ่งฤทธิ์จะออกช้าราว 1 ชั่วโมงครึ่ง บางคนกินไปชิ้นหนึ่งไม่รู้สึกอะไร ก็กินต่อจนเกินขนาดโดยไม่รู้ตัว ฤทธิ์มันแรงและยาวกว่าการสูบมาก”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

ประสิทธิ์ชัย ย้ำว่า วิธีการสูบซึ่งดูไม่น่าดูในสายตาสังคม กลับเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่รู้ปริมาณที่เหมาะสม ทั้งยังควบคุมได้ง่ายกว่า แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำกัดการสูบให้อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ไม่กระทบผู้อื่น และสามารถใช้มาตรฐานเดียวกับบุหรี่ได้ เช่น ห้ามสูบในที่สาธารณะ ปรับเงินหากฝ่าฝืน

“เราไม่ได้เรียกร้องให้สูบกันมั่ว แต่แค่ต้องให้พื้นที่ปลอดภัย และควบคุมได้ เช่น พื้นที่สูบบุหรี่ ถ้าไม่มีจุดสูบ ก็ถือว่าผิดกฎหมายได้เลย”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

เมื่อถามถึงข้อเสนอต่อรัฐบาลหลังมีการออกประกาศควบคุมช่อดอกกัญชา ประสิทธิ์ชัย บอกว่า ยังจำเป็นต้องผลักดัน พ.ร.บ.กัญชา ต่อไป เพราะเป็นแนวทางเดียวที่สามารถควบคุมได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่การปลูก แปรรูป ไปจนถึงการรักษา

“พ.ร.บ.ฉบับของหมอชลน่าน สมัยเป็น รมว.สาธารณสุข เคยผ่านความเห็นชอบในหลักการแล้ว และเราก็เสนอให้ไปคุยในชั้นกรรมาธิการ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีใหม่ ร่างนั้นก็ถูกพับไว้ พร้อมกับแนวคิดจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

ปัจจุบัน มีร่างกฎหมายกัญชาอยู่ 4 ฉบับ จากเครือข่ายต่างๆ ทั้งภาคประชาชน พรรคภูมิใจไทย สมาคมเกษตรกร และกลุ่มเยาวชนนักวิชาการ ซึ่งทางออกที่ดีที่สุด คือ ต้องนำร่างของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับชลน่าน) กลับมาเคลื่อนต่อในสภาฯ เพื่อจัดระบบโดยรวมอย่างมีกฎหมายรองรับ

ในระหว่างที่ พ.ร.บ.ยังไม่แล้วเสร็จ จึงเสนอให้ภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ออกกฎหมายระดับรอง เช่น กฎกระทรวง หรือประกาศ ที่อ้างอิงจากข้อเท็จจริง ซึ่งต้องมาจากการหารือร่วมกันของทุกฝ่าย ทั้งเครือข่ายกัญชา นักวิชาการ กลุ่มเยาวชน และเจ้าหน้าที่รัฐ

“ที่ผ่านมาไม่มีการนั่งโต๊ะพูดคุยร่วมกันเลยสักครั้ง มีแต่การปะทะทางการเมือง ฝั่งเราดัน พ.ร.บ. ฝั่งรัฐมนตรีประกาศจะนำกลับเป็นยาเสพติด นี่ไม่ใช่บรรยากาศที่จะแก้ปัญหาได้จริง”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

‘การเมือง’ อิทธิพลต่อกัญชา ?

เมื่อถามว่าการที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาลมีผลต่อความเคลื่อนไหวของกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ ? ประสิทธิ์ชัย ให้คำตอบว่า “มีผลโดยตรง”

“หลังจากภูมิใจไทยถอนตัว รัฐมนตรีสมศักดิ์ ปล่อยมาตรการกวาดล้าง 3 อย่างภายในไม่กี่วัน ทั้งตรวจร้าน ออกประกาศกระทรวง และประกาศจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แสดงว่าเรื่องนี้เป็นวิกฤตการเมือง ไม่ใช่วิกฤตข้อเท็จจริง เพราะตอนนี้ร้านกัญชาปิดตัวจำนวนมาก รายได้ลดลง ร้านแทบไม่รอด ไม่มีผู้ใช้หน้าใหม่เพิ่มขึ้น มีแต่วัย 40 ปีขึ้นไปที่เคยใช้มาก่อน”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

ทั้งนี้มองว่า หากรัฐมนตรีจริงจังกับการควบคุมกัญชาจริง ๆ ทำไมไม่ออกมาตรการใด ๆ มาก่อนหน้านี้เลย ทั้งที่เป็นรัฐมนตรีมานานแล้ว กลับมาลงมือทันทีหลังพรรคการเมืองคู่แข่งถอนตัวจากรัฐบาล

“นี่คือการใช้กัญชาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ใช่การปกป้องประชาชนอย่างแท้จริง”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

เมื่อถามว่า เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยมีความเชื่อมโยงกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ ? ประสิทธิ์ชัย ยอมรับว่า มีแนวคิดตรงกันบางเรื่อง โดยเฉพาะในรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.แต่ไม่ใช่กลุ่มที่ถูกชี้นำ หรือเป็นเครื่องมือทางการเมือง

“เราเคยร่วมทำงานในชั้นกรรมาธิการร่วมกับคุณศุภชัย และเห็นตรงกันว่าต้องมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ไม่อย่างนั้นก็ต้องออกประกาศกระทรวงอีกเป็นสิบฉบับ ซึ่งจะไร้ประสิทธิภาพและสับสนมาก”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

7 ก.ค.นี้ เตรียมบุก สธ.

ประสิทธิ์ชัย ยืนยันว่า ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชา จะเดินทางไปยื่นหนังสือที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมีข้อเรียกร้องหลัก 2 ข้อ คือ

  1. แก้ไขบางประเด็นในร่างประกาศกระทรวง เช่น การบังคับใช้ใบรับรองแพทย์ และมาตรฐานการปลูกที่อาจกีดกันผู้ประกอบการรายย่อย

  2. ขอให้ยุติกระบวนการที่นำไปสู่การย้ายกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดตามที่รัฐมนตรีประกาศไว้ใน 45 วัน

“เราไม่คาดหวังว่ารัฐมนตรีจะตอบรับ เพราะท่าทีของท่านชัดเจน แต่เราจะไม่ยอมให้กัญชาถูกดึงกลับไปเป็นยาเสพติดเด็ดขาด เพราะนั่นจะยิ่งไปสร้างประโยชน์ให้กับผู้ผูกขาดเพียงกลุ่มเดียว”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

เครือข่ายฯ ยังเตรียมเดินหน้าเคลื่อนไหวต่อเนื่องภายในระยะเวลา 45 วัน ที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ โดยยืนยันว่า ข้อเสนอของพวกเขายืนอยู่บนฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช่อคติหรือผลประโยชน์ทางการเมือง

‘สมศักดิ์’ ย้ำชัด กัญชาต้องใช้ในทางแพทย์ 

ด้าน สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังหารือกับตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจกัญชา ถึงแนวทางการกำกับดูแลกัญชาภายหลังประกาศให้เป็น “สมุนไพรควบคุม” เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยย้ำว่า การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ยังดำเนินต่อได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของแพทย์และกฎหมายที่ชัดเจน

“ร้านที่เปิดมาตั้งแต่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีมากกว่าหมื่นแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแพทย์ จึงต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า การใช้และครอบครองจะต้องมี ใบสั่งแพทย์ เท่านั้น ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ ยังสามารถใช้ได้ ไม่มีอุปสรรคอะไร เพียงแต่เราไม่ต้องการให้มีการใช้โดยไม่มีความจำเป็น”

สมศักดิ์ เทพสุทิน

พร้อมยืนยันว่า ไม่ว่าจะจัดประเภทกัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมหรือยาเสพติด สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องใช้ในทางการแพทย์ ส่วนการใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐอย่างชัดเจน

สมศักดิ์ ยังระบุถึงประเด็นการกลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดของกัญชา ว่า กฎหมายเปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสามารถประกาศเพิ่มเติมหรือถอดถอนสารจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ได้ โดยยึดตามคำแนะนำของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ถ้าอ่านและเข้าใจกฎหมาย จะเห็นว่ากระบวนการทุกอย่างเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ต้องกังวลอะไร การดำเนินการเรื่องสมุนไพรควบคุมในตอนนี้ต้องดูไปอีกระยะ และปรับปรุงจุดที่ยังพะรุงพะรัง เชื่อว่าใน 3 เดือน สถานการณ์จะคลี่คลายทั้งหมด

ยันไม่กระทบผู้ปลูกร้านค้า หากทำถูกต้องตามกฎหมาย

กรณีกลุ่มผู้ปลูกและผู้ประกอบการออกมาเรียกร้องหลังลงทุนไปมาก สมศักดิ์ ยืนยันว่า ผู้ที่ปลูกอยู่ในปัจจุบันจะไม่ได้รับผลกระทบ หากดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนผู้ที่จะเริ่มปลูกใหม่ ต้องขออนุญาตตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง ต้นที่ปลูกไปแล้วก็มีอายุของมัน คงไม่มีปัญหาอะไร ส่วนร้านค้า และคาเฟ่ก็ยังดำเนินกิจการได้ตามเดิม เพียงแต่อาจต้องปรับตัวในระยะเริ่มต้น เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีระบบการขออนุญาตหรือควบคุมชัดเจน

เจตนารมณ์ของรัฐในการควบคุมกัญชาเพื่อไม่ให้เยาวชนเข้าถึง โดยอ้างว่ามีกลุ่มเยาวชนลงชื่อสนับสนุนการนำกัญชากลับเป็นยาเสพติดกว่า 100,000 รายชื่อ แต่ยอมรับว่ายังไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เพราะยังมีความเห็นต่างในสังคมหลายประเด็น

“ตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ขอฝากถึงกลุ่มเยาวชนว่า ผมกำลังดำเนินการไปในแนวทางที่หลายคนต้องการอยู่”

สมศักดิ์ เทพสุทิน

ย้ำรัฐไม่คิดปิดกั้น แต่ต้องปรับกติกา

ภายหลังการหารือร่วมกับผู้แทนจากสมาคมต่าง ๆ อาทิ สมาคมส่งเสริมการลงทุนสมุนไพรไทย และ สมาคมอุตสาหกรรมพืชกัญชงและกัญชา สมศักดิ์ ระบุว่า เข้าใจดีถึงความอึดอัดใจของผู้ประกอบการ และยืนยันว่ารัฐไม่ได้ตั้งใจจะปิดกั้น แต่ต้องการจัดระเบียบให้รัดกุมธุรกิจที่ดำเนินการเพื่อการแพทย์ จะสนับสนุนเต็มที่ ขอแค่ให้ทำให้ถูกต้อง หากในอนาคตสังคมหรือสถานการณ์เปลี่ยน แนวทางเปลี่ยน จะได้ไม่เกิดการฟ้องร้องในภายหลัง เพราะตอนนี้ทุกฝ่ายก็รู้อยู่แล้วว่ากฎหมายเปิดช่อง ส่วนการประกาศให้กัญชาเป็นยาเสพติดอีกครั้งจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายในขณะนี้

“ผมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เข้าใจดีว่าธุรกิจต้องเดินหน้าต่อ และต้องทำให้ไม่มีปัญหากับใคร ยืนยันว่านายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ก็ห่วงเรื่องธุรกิจการลงทุน กัญชาเป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลต้องดูแลให้ดี”

สมศักดิ์ เทพสุทิน

กัญชาจะไม่วุ่น ถ้ามี พ.ร.บ. คุมตั้งแต่ต้น

รมว.สาธารณสุข ยังย้ำเหตุผลที่สถานการณ์กัญชากลายเป็นปัญหาในขณะนี้ว่า เกิดจากการไม่มีกฎหมายแม่บทที่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น ทำให้เกิดความสับสนและการตีความหลากหลาย ที่ผ่านมากฎหมายกัญชาถูกเสนอเข้าสภาฯ หลายครั้ง แต่ไม่ผ่าน เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน ถ้าวันนั้นออก พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมการแพทย์ แบบชัดเจน มีใบรับรองแพทย์ ก็จะไม่วุ่นวายแบบนี้

ขณะที่ กาจกนิษฐ์ ศักดิ์สุภา นายกสมาคมส่งเสริมการลงทุนสมุนไพรไทย บอกว่า ผู้ประกอบการหนักใจกับกระแสข่าวที่ว่ากัญชาอาจกลับไปเป็นยาเสพติด แต่ยืนยันว่า กลุ่มผู้ประกอบการยังสนับสนุนการใช้กัญชาในทางการแพทย์ และพร้อมเดินหน้าอย่างเข้าใจบริบท

“ไม่ว่ากฎหมายหรือคำนิยามจะออกมาแบบไหน ผู้ประกอบการที่เข้าใจระบบจะสามารถปรับตัวได้ และเราขอสนับสนุนแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขในการจัดการอย่างเป็นระบบ”

กาจกนิษฐ์ ศักดิ์สุภา

เครือข่ายแพทย์-นักวิชาการ ชี้ผู้ป่วยพุ่งหลายเท่าตัวหลังปลดล็อกกัญชา

ขณะเดียวกัน เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ออกแถลงการณ์ โดย ยศกร ขุนภักดี ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชน YNAC เป็นผู้แทนเปิดเผยจุดยืน เรียกร้องให้นำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดโดยทันที พร้อมระบุว่า นโยบายกัญชาเสรีที่มีผลตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ได้ก่อให้เกิดปัญหาสาธารณสุขและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

เครือข่ายระบุว่า จากข้อมูลเชิงประจักษ์หลังการปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด พบแนวโน้มที่น่ากังวลในหลายด้าน เช่น

  • จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการเป็นพิษจากกัญชาเพิ่มขึ้น 6-7 เท่า

  • ผู้ป่วยติดกัญชาเพิ่มขึ้น 2-5 เท่า

  • ผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น 3-5 เท่า

  • ผู้ป่วยชาวต่างชาติที่ใช้กัญชาในจังหวัดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 22 เท่า

  • ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาผู้ป่วยจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า

“สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่านโยบายกัญชาเสรีนำไปสู่ปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ความกลัวหรืออคติ แต่เป็นวิกฤตที่ปรากฏชัดในระบบบริการสุขภาพ”

ยศกร ขุนภักดี

เครือข่ายฯ ชี้ว่า ผู้สนับสนุนกัญชาเสรีมักอ้างการใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นเหตุผลหลักในการไม่ให้นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด อย่างไรก็ตาม หากประสงค์ใช้อย่างแท้จริงในทางการแพทย์ ก็สามารถทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมายยาเสพติดเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่อนุญาตให้ใช้เฉพาะทางการแพทย์โดยไม่มีการเปิดเสรี

“หากไม่ต้องการใช้เพื่อสันทนาการจริง ก็ควรยอมรับการกลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมในฐานะยาเสพติด โดยอนุญาตให้ใช้เพื่อการแพทย์ได้ตามขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องเสรีจนทุกคนเข้าถึงได้อย่างไม่จำกัด”

ยศกร ขุนภักดี

ในแถลงการณ์ ยังได้เสนอจำแนกนโยบายกัญชาออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  1. กัญชาเป็นยาเสพติด ห้ามใช้ทุกกรณี

  2. กัญชาเป็นยาเสพติด แต่ใช้ทางการแพทย์ได้

  3. กัญชาไม่เป็นยาเสพติด ใช้ทั้งทางการแพทย์และสันทนาการได้

เครือข่ายฯ ยืนยันว่า ประเทศไทยควรอยู่ในระดับที่ 2 โดยจำกัดการใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ภายใต้การควบคุมของแพทย์และหน่วยงานรัฐ

วิจารณ์การปลดล็อกผิดขั้นตอนตั้งแต่ต้น 

เครือข่ายฯ ยังระบุว่า การปลดล็อกกัญชาในปี 2565 เป็นการดำเนินการที่ผิดหลักการตั้งแต่ต้น เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เคยมีมติให้ชะลอการปลดล็อกจนกว่าประเทศจะมีกฎหมายควบคุมที่ชัดเจน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้นยังคงเดินหน้าออกประกาศปลดกัญชา ทั้งที่สำนักงาน ป.ป.ส. ได้มีหนังสือทักท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว

“สิ่งที่เกิดขึ้น คือ สุญญากาศทางกฎหมาย ที่ทำให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปเข้าถึงกัญชาได้อย่างไร้ขอบเขต”

ยศกร ขุนภักดี

จึงเสนอว่า แนวทางที่ถูกต้องคือต้อง นำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดโดยทันที เพื่อคุ้มครองคนส่วนใหญ่ของประเทศ และป้องกันผลกระทบเชิงลึกที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ก่อนจะเดินหน้าออกแบบกฎหมายที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

ในประเด็นที่ผู้ปลูกและผู้ประกอบการธุรกิจกัญชาเรียกร้องเรื่องความเสียหายทางเศรษฐกิจ เครือข่ายฯ เห็นว่า ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะชะลอหรือยกเลิกนโยบายการควบคุม

“ผู้ทำธุรกิจทุกคนต้องประเมินความเสี่ยงของตนเอง การปลูกพืชล้มลุกเช่นกัญชา หากรัฐกำหนดบทเฉพาะกาลให้ระยะเปลี่ยนผ่าน 3-6 เดือน ก็ถือว่าเพียงพอในการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว”

ยศกร ขุนภักดี

นอกจากนี้ ยังชี้ว่ารัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เพียงผู้ประกอบการไม่กี่หมื่นราย แต่ต้องให้ความสำคัญกับเยาวชน ครอบครัว ครู แพทย์ พยาบาล และสังคมโดยรวมที่ได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้นักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ต้องกล้ายืนอยู่ข้างผลประโยชน์ระยะยาวของสังคม มากกว่ากลุ่มธุรกิจเฉพาะทางในระยะสั้น

แถลงการณ์ดังกล่าวปิดท้ายด้วยการยืนยันว่า จุดยืนของเครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ไม่ได้ปฏิเสธการใช้กัญชาในทุกกรณี แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active