พลเอก ณัฐพล ย้ำ ยึดถืออธิปไตยผลประโยชน์ชาติอันดับแรก หากกัมพูชาล่วงล้ำหรือละเมิด ไม่สามารถหยุดได้ ทำทุกอย่างตามกระบวนการเพื่อไม่ให้บานปลาย ด้าน รศ.ปณิธาน เชื่อ ไทย-กัมพูชา ไม่ปิดโอกาสคลี่คลายสถานการณ์ผ่านโต๊ะเจรจา
วันนี้ (24 ก.ค. 68) สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ในจุดที่น่ากังวลอีกครั้ง หลังช่วงเย็นวานนี้ (23 ก.ค.) ชุดลาดตระเวนของไทย เหยียบทุ่นระเบิด ที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ทหารไทยบาดเจ็บ 5 นาย อาการสาหัส 1 นาย
พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยกระดับมาตรการตอบโต้มีผลตั้งแต่วันนี้ ด้วยการปิดด่าน 4 แห่ง คือ ช่องอานม้า, ช่องสะงำ, ช่องจอม และ ช่องสายตะกู พร้อมปิดสถานที่ท่องเที่ยว คือ ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย

โดยมีคำยืนยันจากกองทัพบกว่าการโจมตีเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 8.20 น. โดยกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน
ลำดับเหตุการณ์
เวลา 07.35 น. หลังหน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนได้รับรายงานว่า มีอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม ก่อนฝ่ายกัมพูชาจะเปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธม ในระยะประมาณ 200 เมตร หลังจากนั้นจึงเกิดการปะทะกันขึ้นตลอดแนว
08.20 น. เป็นครั้งแรกที่กองทัพบก โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์
ตามด้วยโพสต์ของกองทัพภาคที่ 2 ที่แจ้งข้อมูลเมื่อ 09.15 น. ว่า สถานการณ์ระอุต่อเนื่อง กัมพูชามีการใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทย
09.20 น. เกิดการปะทะตลอดแนวหน้า ทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย
09.40 น. กัมพูชา ใช้จรวด BM-21 ยิงจากฐานตกใส่ปราสาทโดนตวล จ.ศรีสะเกษ
09.55 น.กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ ประกาศอพยพด่วน กัมพูชา ยิงใส่พื้นที่ชุมชน บริเวณศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
สถานการณ์ปะทะได้ขยายวงกว้างไปยังแนวชายแดนหลายจุด ทั้งปราสาทตาเมือนธม ตาควาย เขาพระวิหาร ช่องอานม้า และช่องจอม โดยฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธหนัก เช่น BM-21 และปืนใหญ่ขนาด 122 มิลลิเมตร ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ การโจมตียังลุกลามไปยังพื้นที่สาธารณะ อาทิ ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และ โรงพยาบาลในพื้นที่พนมดงรัก ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บสาหัส 3 ราย หนึ่งใน 3 เป็นเด็กวัย 5 ขวบ และเสียชีวิต 1 ราย

ศบ.ทก. ประชุมด่วนหลังเกิดเหตุปะทะ
ศูนย์เฉพาะกิจบริการสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ประชุมด่วนหลังจากเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทย และกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ โดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ที่ผ่านมาพยายามเชิญชวนมาพูดคุยแบบทวิภาคี แก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการที่มีอยู่ ให้ทั้งสองฝ่ายต้องเคลื่อนย้ายกำลังออกจากบริเวณพื้นที่ชายแดน หากอยู่กันแบบนี้ อาจมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันได้ แต่ทหารกัมพูชา ไม่มีวินัย ยั่วยุ จากเหตุการณ์วานนี้ ได้หารือกับทางกองทัพ ตัดสินใจมอบอำนาจให้ พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในการอำนวยการยุทธต่อไป เป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม มาตรา 39 โดยวานนี้ จากที่มีการหารือกับแม่ทัพภาคที่ 2 จะวางลวดหนาม ในพื้นที่ที่กัมพูชามักจะล่วงล้ำเข้ามา และจากเหตุการณ์วานนี้ทำให้เห็นว่านอกจากจะรุกล้ำเข้ามาแล้ว ยังประสงค์ร้ายกับฝ่ายไทยด้วย ส่วนจะทำอย่างไรให้ประชาชนมั่นใจว่าเหตุการณ์จะไม่บานปลายไปมากกว่านี้ พลเอก ณัฐพล กล่าวว่า เราพยายามที่จะไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย แต่หากกัมพูชาล่วงล้ำอธิปไตยไทยเราก็ยอมไม่ได้
“ขอให้สื่อมวลชนทุกคนได้ทำความเข้าใจกับประชาชน ว่าเรายึดถืออธิปไตยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นอันดับแรก แต่หากกัมพูชาล่วงล้ำหรือละเมิด ก็คงไม่สามารถที่จะหยุดได้ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ ซึ่งเรื่องนี้เรามีกฎหมาย กฎการใช้กำลัง ที่ได้กำหนดเอาไว้แล้ว ซึ่งทางเหล่าทัพก็ทราบเรื่องนี้ดี”
ขณะที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมสภาความมั่นคงด่วน ในช่วง 14.00 น. เพื่อสรุปในภาพรวมทุกเรื่อง ส่วนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ได้รับรายงานเมื่อเวลา 8 โมง 20 นาที มีเสียงปืนเกิดขึ้น กำลังเข้าไปดูในรายละเอียด ให้พื้นที่ทำงาน ตอนนี้ต้องระมัดระวังและรอบคอบ ต้องปฏิบัติตามหลักการกฎหมายระหว่างประเทศ จึงยังไม่สามารถ พูดอะไรได้มาก ส่วนการอพยพประชาชนในพื้นที่บริเวณแนวชายแดน ก็มีผู้ปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยออกมาโพสต์ข้อความ ว่าไทยกำลังบริหารแบบใช้อารมณ์ นายภูมิธรรม กล่าวว่า รอรายละเอียดทั้งหมด ค่อยชี้แจง ตอนนี้เรากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว คือการปกป้องอธิปไตยของเราอย่างเต็มที่
‘ปณิธาน’ เชื่อ แม้อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม แต่ยังไม่ปิดช่องเจรจา
รศ.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ระบุว่า การตอบโต้ เป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องทำตามกติกาสากล และเก็บรายละเอียดหลักฐานเพื่อชี้แจงต่อเวทีโลก และแม้สถานการณ์เวลานี้จะก้าวสู่การปะทะกันแล้ว แต่ รศ.ปณิธาน ก็ยังเชื่อว่า ยังไม่ปิดโอกาสของการเจรจา เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ตามกติกาสากล แต่หลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ไทยเองต้องรวบรวมเพื่อชี้แจงต่อนานาชาติด้วย

“จำเป็นต้องมีหลักฐานเพื่อชี้แจงต่อนานาชาติต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง การประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ นำไปสู่การชี้แจง ทำความเข้า ใจ ความจำเป็นเหล่านี้พิสูจน์ชัดให้ได้”
รศ.ปณิธาน ประเมินด้วยว่า เวลานี้ต้องยอมรับว่า มีปัจจัยที่ล่อแหลมอยู่ทั้ง เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เมื่อผู้นำของทั้งสองชาติไม่สามารถส่งสัญญาณเชิงบวกต่อกันได้ ไทยส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชากลับกัมพูชา และเรียกทูตไทยกลับไทย ขณะที่ก็มีการปรับและเคลื่อนกำลังกันแล้ว
แต่ก็ยังมองว่า ยังไม่ปิดโอกาสของการคลี่คลายสถานการณ์ ผ่านโต๊ะเจรจา เพราะปัญหาความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชาเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น กรณีข่าวการเผาสถานทูตในเดือน ม.ค. ปี 2546 ก็สามารถฟื้นความสัมพันธ์กลับมาได้ในเดือน พ.ค. ปีเดียวกัน รวมถึงกรณีการตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวด้านเศรษฐกิจของกัมพูชา ก็เคยมีการลดระดับความสัมพันธ์ในปี 2552 แต่ก็ฟื้นกลับมาในปี 2553