เปิดผลตรวจสารพิษ แม่กก-แม่สาย พบสูงกว่ามาตรฐาน​ ​เสี่ยงมะเร็ง

เปิดผลตรวจสารพิษ แม่กก-แม่สาย ดัชนีความเสี่ยงสุขภาพ ผอ. มูลนิธิบูรณะนิเวศ ชี้หากประเทศต้นทางไม่ร่วมแก้ ปัญหานี้ยังอยู่ยาว ด้านนักวิจัยแนะให้ชุมชนมีส่วนร่วมเพื่อเป็นหลักฐานในการเจรจา

วันที่ 1 ส.ค. 2568) ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ได้มีการจัดงานแถลงข่าว “เปิดผลตรวจมลพิษ แม่กก-แม่สาย ช่วงน้ำหลาก” เป็นการนำเสนอผลการศึกษา ซึ่งมูลนิธิบูรณะ นิเวศร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยบูรณะเป็นสนับสนุนการดำเนินการ และวางแผนการเก็บตัวอย่างให้ ส่วนทีมวิจัยของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย ผศ.ว่าน วิริยา เป็นหัวหน้าโครงการ เก็บตัวอย่าง วิเคราะห์ และแปลผล ซึ่งถือเป็นกิจกรรมภายใต้งานสนับสนุนพลเมืองสู้มลพิษอุตสาหกรรม เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีของมูลนิธิบูรณะนิเวศ ที่สนับสนุนกิจกรรมโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 

ผศ.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รายงานการตรวจปริมาณสารหนู (As) ในแม่น้ำกกว่า ช่วงที่เก็บตัวอย่างเป็นช่วงฝนแรก จะมีตะกอนเยอะ ดังนั้น การชะล้างเอาโลหะหนักหรือสารอาหารจะสูง ซึ่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า จะมีค่าสูง และผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีสารอื่น ๆ ที่เกินมาเหมือนกัน อย่างเช่น ปริมาณตะกั่ว ที่บริเวณชายแดน สามเหลี่ยมทองคำ แม่อาย ก็สูงหมด ดังนั้น มีปัจจัยอย่างอื่นแน่นอนที่เข้ามามีส่วนร่วมที่ทำให้โลหะชนิดนนี้สูงขึ้น

ผศ.​ว่าน วิริยา ในฐานะตัวแทนหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจวิเคราะห์ผลตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและพืชผลทางการเกษตร กล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเมื่อวันที่ 24-26 พฤษภาคม 2568 ซึ่งในคืนวันที่ 23 พฤษภาคม นั้น ได้เกิดฝนตกหนักและน้ำหลากที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย การเก็บตัวอย่างประกอบด้วยน้ำจาก 9 จุด จำนวน 27 ตัวอย่าง ตะกอนดินจาก 6 พื้นที่ 18 ตัวอย่าง ดินจาก 4 พื้นที่ 12 ตัวอย่าง และพืชผลทางการเกษตรจาก 4 พื้นที่ จำนวน 8 ตัวอย่าง โดยเป็นการเก็บตัวอย่างจากพื้นที่ซึ่งครอบคลุมตลอดลำน้ำกก รวก สาย โขง รวมถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั้งสองฝั่งของลำน้ำเหล่านั้น

สำหรับการตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักได้ทำทั้งหมด 27 ชนิด ผลพบว่า

▪ ตัวอย่างน้ำผิวดิน พบปริมาณสารหนู (As) แคดเมียม (Cd) นิกเกิล (Ni)และตะกั่ว (Pb) สูงเกินค่าที่ปลอดภัย และเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พบว่า ทั้งสารหนู (As) ตะกั่ว (Pb) แมงกานีส (Mn) นิกเกิล (Ni) และทองแดง (Cu) ต่างเกินค่ามาตรฐานในเกือบทุกจุดเก็บตัวอย่าง ส่วนจุดที่พบโลหะหนักทั้ง 27 ชนิดสูงสุดคือจุดเก็บตัวอย่างชายแดนไทย-พม่า ลำน้ำแม่สาย อ.แม่สาย ซึ่งเป็นน้ำในช่วงที่เกิดน้ำหลากแรกของฤดูกาล

▪ ตัวอย่างตะกอนดินและดิน พบว่าในทุกจุดเก็บตัวอย่างมีค่าโลหะหนักสูง โดยพบปริมาณสารหนู (As) แคดเมียม (Cd) โครเมียม (Cr) ทองแดง(Cu) นิกเกิล (Ni) ตะกั่ว (Pb) และสังกะสี (Zn) สูงเกินค่าที่ปลอดภัย แต่ตัวอย่างตะกอนดินจะพบปริมาณโลหะหนักสูงกว่าตัวอย่างดิน 

▪ ตัวอย่างพืชผลทางการเกษตร จากการตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักทั้งสิ้น 24 ชนิด ในตัวอย่างข้าว กระเทียม พริก ขิง และหอมแดง พบโลหะหนักบางชนิดในปริมาณที่ไม่สูงและไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภค

จุดที่น่าสนใจคือ เมื่อนำผลจากการศึกษาครั้งนี้ไปเปรียบเทียบกับผลตรวจของกรมควบคุมมลพิษและของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พบว่า ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำผิวดินครั้งนี้มีค่าสูงกว่าผลการวิเคราะห์ทั้งสองหน่วยงาน

“สิ่งที่มันน่าแปลกใจคือ ช่วงที่กรมควบคุมมลพิษวัดก่อนเรา ช่วง 23 พฤษภาคม แต่เราเก็บตัวอย่าง 24 พฤษภาคม มันจะสูงปรี๊ดเลย เพราะมันเป็นน้ำหลากแรก ก็คือฝนแรกชะออกมาหมดเลย น้ำยังไม่ท่วมนะครับ ดังนั้นอันนี้มันสูงกว่าพื้นที่ เกินทุกพื้นที่เมื่อเทียบกับกรม ซึ่งกรมก็สูงเหมือนกัน ดังนั้นเทียบเคียงแล้วก็ใกล้เคียง แต่ช่วงที่เราเก็บ ต้องบอกก่อน มันเป็นช่วงฝนแรก พอฝนแรก น้ำหลากแรก มันจะมีตะกอนเยอะ ดังนั้นการชะล้างโลหะหนัก อะไรพวกนี้ ก็สูง ก็ไม่ได้ผิดคาด” ผศ.ว่านกล่าว พร้อมกับย้ำว่า แต่จุดที่ชายแดนตรงแม่สายนั้นถือว่าค่าสูงมากอย่างผิดปกติ

ประเด็นต่อไปที่ ผศ.ว่านนำเสนอคือผลการคำนวณความเสี่ยงต่อสุขภาพ ซึ่งพบว่ามีความเสี่ยงต่อสุขภาพของสารที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งรวมเกินระดับค่าที่ยอมรับได้ ในระดับประมาณ 100 เท่า ส่วนความเสี่ยงต่อสุขภาพในการเกิดมะเร็ง พบว่า แทบทุกจุดเก็บตัวอย่างมีสถานะความเสี่ยงสูงมากทั้งหมด ยกเว้นที่บ้านฟาร์มสัมพันธกิจยังมีความเสี่ยงต่ำ ทั้งนี้ บริเวณชายแดนไทย-พม่า แม่สาย เป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูงสุด

อนึ่ง สำหรับจุดเก็บตัวอย่างน้ำผิวดิน 9 จุด นั้น เป็นพื้นที่ใน จ.เชียงราย 8 จุด ได้แก่ 1) ลำน้ำแม่สาย ใน อ.แม่สาย บริเวณชายแดนไทย-พม่า 2) บ้านธนารักษ์ ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย 3) อ่างเก็บน้ำบ้านฟาร์มสัมพันธกิจ อ.เมืองเชียงราย 4) สะพานริมกกฯ (สะพานเวียงเหนือรวมใจ) บ้านฟาร์มสัมพันธกิจ 5) ฝายเชียงราย อ.เมืองเชียงราย 6) หาดนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย 7) ปากแม่น้ำกก อ.เชียงแสน และ 8) ท่าเรือสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ส่วนจุดที่ 9 เป็นบริเวณต้นลำน้ำกกในเขตแดนประเทศไทย ที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงราย

ส่วนตัวอย่างตะกอนดินเก็บจาก 6 จุดตามที่เก็บตัวอย่างน้ำลำดับที่ 1) 2) 4) 5) 8) และ 9) ในขณะที่ตัวอย่างดินเก็บจาก 4 จุด ได้แก่ 1) นาข้าวบ้านฟาร์มสัมพันธกิจ ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย 2) หาดนครเชียงราย 3) ปากแม่น้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย และ 4) แปลงปลูกพริก ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

ขณะที่ตัวอย่างพืชผลทางการเกษตร ได้แก่ ข้าว กระเทียม พริก ขิง และหอมแดง เก็บจาก 4 จุด ประกอบด้วย 1) นาข้าวบ้านฟาร์มสัมพันธกิจ 2)แปลงปลูกพริก ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ 3) แปลงที่ได้รับความเสียหาย ต.ท่าตอน 4) ตัวอย่างอ้างอิง บ้านป่าบง ต.ผางาม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย

เพียรพร ดีเทศน์ ผอ. ฝ่ายรณรงค์ประเทศไทย องค์การแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ระบุว่า ข้อมูลจากงานวิจัยต่าง ๆ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษที่มีการตรวจน้ำ ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค. เป็นต้นมา ทุก ๆ สองสัปดาห์เรื่อย ๆ  ซึ่งแทบทุกครั้งก็ชี้ให้เห็นว่า มีมลพิษ มีสารโลหะหนัก และหวังว่ารัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเห็นปัญหาเหมือนกับที่ประชาชนเห็น 

อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ซึ่งนำเสนอในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการต่าง ๆ ก็ชี้ให้เห็นว่ามีการเปิดหน้าดิน ทำเหมือง เราเห็นแล้วว่ามีกิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงหวังว่ารัฐบาลจะเจรจาและแก้ไข้ปัญหาเหล่านี้โดยเร็ว

อกจากนั้น เพียรพรได้เล่าถึงสถานการณ์ในพื้นที่ช่วงที่ผ่านมาที่เปชิญกับพายุวิภา ซึ่งประชาชนในพื้นที่ต่างตื่นตัวและกังวล เพราะปัญหาไม่ใช่เพียงน้ำท่วมแล้ว แต่ยังมีสารพิษทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักไหลมาด้วย ประชาชนจึงอยู่ในความกังวล บางคนมีภาวะความเครียด หรืออาจถึงซึมเศร้าด้วย

ด้าน เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ. มูลนิธิบูรณะนิเวศ บอกว่าจากการลงพื้นที่ พบว่าคนในพื้นที่ความกังวลสูงมาก เพราะหน่วยงานราชการมีการตรวจวัดคุณภาพน้ำต่อเนื่องก็จริง แต่สิ่งน่ากังวลคือเรื่องของพืชผล อาหารการกิน โดยเฉพาะแหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตประปา ว่ายังปลอดภัยอยู่หรือไม่ ฉะนั้น เมื่อลงพื้นที่ไปครั้งนี้ เหมือนกับได้ไปตรวจสอบเพิ่มเติมจากในส่วนที่หน่วยงานราชการทำอยู่

ส่วนผลวิเคราะห์ที่ออกมาก็ถือว่ายังเบาใจได้ในระดับหนึ่ง พบว่ายังอยู่ในระดับที่สามารถกินได้ แต่ถ้าปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้นานก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ 

เพ็ญโฉม คิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราเห็นในการเคลื่อนไหวของรัฐบาล ในการดำเนินการเรื่องนี้ อย่างแรกต้องชื่นชมว่าสำนักงานควบคุมมลพิษดำเนินการเร็ว และเปิดเผยผลการตรวจวัดให้สาธารณะรับทราบ ทำให้เกิดการตื่นตัว และเฝ้าระวัง

ในระดับของรัฐบาล ที่ทางจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ก็ดี ได้มีการตั้งคณะกรรมการเฝ้าระวังเรื่องนี้ มีการตรวจวัดการปนเปื้อนในน้ำ ในตะกอนดิน ในพืช และปลา คิดว่าทำแค่นี้ไม่พอใจ และเหมือนกับว่าการที่ตั้งคณะกรรมการสองชุดขึ้นมาทำเรื่องนี้ อย่างน้อยคือการพยายามลดทอนความไม่พอใจของประชาชนที่เกิดขึ้น

“สิ่งที่อยากเห็นคือมาตรการเร่งด่วน จะต้องหาทางเจรจาเพื่อยุติหรือลดทอนปัญหานี้ให้ได้ ตั้งแต่แหล่งกำเนิด”

ถ้าหากว่าหาทางที่จะให้ประเทศต้นทางจัดการให้ปลอดภัยไม่ได้ เรื่องนี้จะอีกยาวมาก ๆ จะกลายเป็นพื้นที่ปนเปื้อนที่ใหญ่ที่สุดของไทย หรืออาจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เพราะตอนนี้การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเป็นสิ่งที่ทุกคนจับตา และแรร์เอิร์ธบางชนิดมีมูลค่ามากกว่าทอง ซึ่งยิ่งถ้าหากโลกพัฒนาไปสู่ยุคพลังงานสะอาด หรือนวัตกรรมใหม่ สิ่งที่ผลิตจากแรร์เอิร์ธสำคัญมากเพราะต้องใช้กับอุตสาหกรรมเหล่านี้ ฉะนั้น การขุดแรร์เอิร์ธจึงจะเกิดขึ้นอีกเยอะ ถ้าเราไม่มีทางที่จะยุติปัญหานี้ได้ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย จะกลายเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงสู่ความหายนะทางสิ่งแวดล้อม

ในส่วนของปัญหาแร่ น้ำปนเปื้อนจากการทำเหมืองแร่จะอยู่นาน จัดการได้ยาก คิดว่านี่คือโจทย์ที่ยากของไทย และประเทศอาเซียน ต้องยกปัญหานี้สู่ระดับอาเซียนเพื่อเตรียมรับมือกับมลพิษข้ามแดนในทุกรูปแบบ

สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยอิสระ และ ผอ.สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA) มองว่า ระดับแรกที่การยกขึ้นมาพูดคุยในระดับภูมิภาค เพราะไม่สามารถจัดการได้แค่เฉพาะในประเทศเรา อำนาจในการจัดการอยู่กับอีกประเทศหนึ่ง อาเซียนไม่ได้มีกฎหมายบังคับเรื่องมลพิษข้ามแดน ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องยกระดับเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ระดับที่สอง ในระดับประเทศ ต้องไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ในส่วนของกรมควบคุมมลพิษมีการโต้ตอบได้เร็วมาก มีการลงพื้นที่ตรวจ และวางข้อมูลเฝ้าระวังอย่างเป็นระบบ แต่ที่ต้องเพิ่มคือระดับชุมชนต้องมีการลงมือทำด้วย ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครทำงานกับชุมชนอย่างเป็นระบบ ส่วนตัวมองว่าต้องทำตั้งแต่ระดับภูมิภาค ประเทศ แลและลงไปถึงชุมชน

การเจรจากับประเทศอื่นใช้เวลา แต่ในระหว่างนี้มาตรการเบื้องต้นที่ใช้ปกป้องประชาชนต้องมี และต้องมีการทำความเข้าใจเส้นทางมลพิษ เปลี่ยนจากการที่ทางหน่วยงานรัฐทำฝ่ายเดียว มาทำให้ชาวบ้าน และชุมชนเริ่มเฝ้าระวังตัวเองได้ คือ การสื่อสารความเสี่ยงและร่วมกำหนดมาตรการปกป้องสุขภาพชุมชน อีกทั้งยังกระบวนการทำงานระดับชุมชนยังเป็นหลักฐานในการใช้เจรจาว่าเกิดอะไรขึ้นในชุมชน 

พร้อมทิ้งท้ายว่าจะแก้ปัญหา ต้องยอมรับก่อนว่ามันคือปัญหา และไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ ตัวระบบเฝ้าระวังที่ดีที่สุดคือให้ชาวบ้านเฝ้าระวังกันเองได้ ใช้ข้อมูลนี้ร่วมกับหน่วยงานรัฐในการตัดสินใจว่าจะปกป้องสุขภาพอนามัยของตัวเองได้อย่างไร

“สิ่งที่เราเจออยู่ตอนนี้ไม่ใช่พิษเฉียบพลัน การบอกว่าเกินหรือไม่เกินค่ามาตรฐาน อาจไม่ควรพูดแล้วว่าเกินหรือไม่เกิน แต่สิ่งที่น่ากังวลเรื่องสาธารณสุขตอนนี้คือมาปริมาณไม่น้อย แต่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่มีการจัดการอะไรเลยจะนำไปสู่ภาระการบริการสุขภาพของเราในอนาคต”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active