ย้ำ โลหะหนักปนเปื้อนแม้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ยังสะสมในร่างกาย เสี่ยงสุขภาพประชาชน กว่า 1.2 แสนคน เตือน MOU แร่หายาก ไทย–สหรัฐฯ อาจซ้ำเติมมลพิษข้ามแดน ชี้ ย้ายแหล่งน้ำคือทางออกเดียวที่ทำได้ทันที เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาด
สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยกับ The Active ถึงข้อเสนอการย้ายแหล่งน้ำดิบใหม่ใน จ.เชียงราย ของภาคประชาชน ว่า เป็นข้อเสนอที่ผลักดันต่อเนื่องมานาน หลังพบการปนเปื้อนของโลหะหนักในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญในการผลิตน้ำประปา โดยผลตรวจจากทั้งการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และห้องแล็บอิสระต่างพบสารโลหะหนักและสารเคมีตกค้าง แม้ไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ถือเป็นสัญญาณความเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชนกว่า 1.2 แสนคนในเขตเทศบาลนครเชียงราย
“มันไม่ควรมีเลยครับ ต่อให้ไม่เกินมาตรฐานก็ตาม เพราะเมื่อมีการบริโภคทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการดื่ม ทำอาหาร หรือล้างของกินของใช้ สารเหล่านี้ย่อมสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรารู้ว่าในพื้นที่ต้นน้ำกกมีเหมืองแร่หายากที่มีกัมมันตภาพรังสี แต่ยังไม่มีหน่วยงานไหนลงไปตรวจสอบอย่างจริงจัง”
สืบสกุล กิจนุกร

สืบสกุล ยังเห็นว่า กปภ.เองก็รับรู้ถึงปัญหาและพยายามปรับปรุงคุณภาพน้ำเต็มที่ แต่ต้นทุนการผลิตน้ำประปาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการใช้สารเคมีและกระบวนการบำบัดที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งอาจก่อผลกระทบทางอ้อมต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน จึงจำเป็นต้องย้ายแหล่งน้ำดิบให้ปลอดภัยกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม กระบวนการย้ายแหล่งน้ำดิบอาจเริ่มได้จริงในปี 2571 เนื่องจากต้องใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท สืบสกุล เสนอว่า รัฐบาลควรอนุมัติงบกลางเพื่อเร่งดำเนินการ เพราะเป็น “การลงทุนเพื่ออนาคต 100 ปี”
“งบฯ พันล้านซื้อความปลอดภัยให้คนทั้งจังหวัดได้ 100 ปี มันคุ้มค่ามากกว่าการรอให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา”
สืบสกุล กิจนุกร
ย้ายแหล่งน้ำ ทางออกเดียวที่ทำได้ทันที
ในฐานะเครือข่ายติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำกก สืบสกุล ย้ำว่า ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา เห็นชัดว่าผลกระทบจากการปนเปื้อนเริ่มสะสมและลุกลาม จนหน่วยงานรัฐต้องหาทางออกเฉพาะหน้า เช่น การศึกษาความเป็นไปได้ของการย้ายแหล่งน้ำดิบ ซึ่งเป็นแนวทางที่จับต้องได้และรวดเร็วที่สุด
“แม่น้ำกกวันนี้ไม่สามารถใช้ผลิตน้ำประปาได้อย่างปลอดภัยแล้ว การย้ายแหล่งน้ำจึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงน้ำสะอาด”
สืบสกุล กิจนุกร

ทั้งยังชี้ว่า ปัญหานี้กระทบโดยตรงต่อ สิทธิด้านสุขภาพและสิทธิชุมชน เพราะชาวบ้านในลุ่มน้ำไม่เพียงสูญเสียแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค แต่ยังถูกตัดขาดจากวิถีชีวิตที่พึ่งพาแม่น้ำ เช่น การประมง การท่องเที่ยว และประเพณีท้องถิ่น
MOU แร่สำคัญ ความเสี่ยงใหม่ต่อสิทธิชุมชน
เมื่อพูดถึงประเด็นระดับมหภาค สืบสกุล เชื่อมโยงกรณีมลพิษน้ำกก กับแนวโน้มจาก MOU ความร่วมมือด้านแร่สำคัญ ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยเตือนว่า ข้อตกลงลักษณะนี้อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิทธิชุมชน เพราะจะส่งเสริมให้เกิดการสำรวจและทำเหมืองมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีแหล่งแร่หายาก
“วันนี้แม่น้ำสาละวินก็เริ่มมีการปนเปื้อนสารโลหะหนักจากฝั่งเมียนมาแล้ว และแนวโน้มแบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นตลอดแนวชายแดน ตั้งแต่เชียงรายถึงระนอง ล้วนเป็นผลจากกิจกรรมเหมืองในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหลายแห่งมีทุนจีนอยู่เบื้องหลัง”
สืบสกุล กิจนุกร

โดยระบุว่า กรมควบคุมมลพิษเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบแม่น้ำกระบุรี จ.ระนอง หลังพบสัญญาณปนเปื้อน ส่วนแม่น้ำโขงเองก็มีรายงานจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ว่าพบโลหะหนักเพิ่มขึ้นในช่วงแขวงเกาะแก้ว สปป.ลาว ซึ่งเป็นต้นน้ำฝั่งตรงข้ามเชียงราย
“ข้อมูลจากศูนย์ Stimson Center ชี้ว่าลาวมีการทำเหมืองแร่ตลอดประเทศ และทั้งหมดคือน้ำต้นทางของแม่น้ำโขงที่ไหลลงสู่อีสานของไทย นี่คือเหตุผลที่เราต้องเฝ้าระวัง เพราะมันเป็นห่วงโซ่เดียวกันของระบบนิเวศน้ำในภูมิภาค”
สืบสกุล กิจนุกร
ความซับซ้อนของปัญหาและทางออกเชิงโครงสร้าง
สืบสกุล กล่าวต่อว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เฉพาะระดับท้องถิ่น แต่เกี่ยวพันกับภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ต้องการนำเข้าแร่สำคัญ มากขึ้นจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพิ่มการทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมักละเลยมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
“เราเห็นรูปแบบซ้ำ ๆ คือเหมืองอยู่ฝั่งโน้น แต่ผลกระทบข้ามพรมแดนมาถึงฝั่งไทย ทั้งในแม่น้ำกก สาละวิน และกระบุรี และเจ้าของเหมืองส่วนใหญ่ก็เป็นทุนจากจีนทั้งหมด ตั้งแต่ขุด ผลิต ไปจนถึงรับซื้อ”
สืบสกุล กิจนุกร
ในส่วนของการแก้ปัญหาระดับนโยบาย เขาระบุว่าหลายกรรมาธิการ ทั้งฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เริ่มศึกษาและจัดทำรายงานเสนอรัฐบาล เพื่อให้เกิดการแก้ไขตั้งแต่ ต้นเหตุ นั่นคือการเจรจาระหว่างรัฐไทยกับเมียนมา จีน และกลุ่มกองกำลังท้องถิ่นในพื้นที่ทำเหมือง
“แม้จะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา แต่ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถรอได้ เพราะผลกระทบเกิดขึ้นทุกวัน สิ่งที่ทำได้ทันทีคือการย้ายแหล่งน้ำดิบ เพื่อหยุดความเสี่ยงที่กระทบต่อชีวิตผู้คนก่อน”
ประชาชนไม่เห็นด้วยกับ ‘ฝายดักตะกอน’
สำหรับข้อเสนอสร้างฝายดักตะกอนเพื่อกรองมลพิษในแม่น้ำกก สืบสกุล มองว่า หลังจากกรมทรัพยากรน้ำจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นที่อำเภอแม่อาย และตัวเมืองเชียงราย ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าเป็นโครงการที่ขาดการศึกษาความเป็นไปได้ และไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาที่แท้จริง
“โครงการฝายดักตะกอนเป็นแนวคิดของรัฐบาลชุดก่อน ที่พยายามจะเร่งแสดงผลงาน แต่ไม่มีฐานข้อมูลวิจัยรองรับ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกรรม และผลกระทบต่อระบบน้ำ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องยุติไป”
สืบสกุล กิจนุกร

ย้ายแหล่งน้ำดิบ คือความหวังใหม่ของเชียงราย
สืบสกุล สรุปว่า ในเวลานี้แนวทางเดียวที่เป็นรูปธรรมและสามารถทำได้ทันที คือการย้ายแหล่งน้ำดิบสำหรับการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อความปลอดภัยของประชาชนกว่า 41,000 ครัวเรือน
“ถ้าการประปาทำสำเร็จ จะเป็นสัญญาณสำคัญให้หน่วยงานอื่น ๆ มองเห็นทางออก และเริ่มคิดถึงแนวทางรับมือกับมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง นี่คือการปกป้องสิทธิในการมีชีวิตและน้ำสะอาดของคนเชียงรายอย่างแท้จริง”
สืบสกุล กิจนุกร
