ฝ่าทางตัน ‘ฝุ่น’ ระหว่างรอ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’

นักวิชาการ ภาคประชาชน ร่วมเสนอทางออกแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ตัดตอนจากแหล่งกำเนิด แนะสร้าง ‘ความรู้’ นำการใช้ ‘อำนาจ’ แก้ปัญหา ย้ำจัดการฝุ่นอย่าทำแค่มาตรการบังคับ ต้องสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ แก้ปากท้องร่วมด้วย

วันนี้ (11 ก.พ. 68) The Active Policy Watch Thai PBS ร่วม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, สภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร, กทม., สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ ศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไข ปัญหามลพิษอากาศ (ศวอ.) จัดเวที Policy Forum : Policy Dialogue ฝ่าทางตัน วาระฝุ่น 2568 เพื่อจัดการปัญหาฝุ่นและหมอกควันไฟตั้งแต่ต้นทางให้ได้มากที่สุด แบบไม่ต้องรอ

นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท สำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า สถานการณ์ฝุ่นใน กทม. อาจจะยังไม่หนักเท่าปี 2562 ที่ประชาชนเกิดความกลัว และหมดหวัง แต่วันนี้มีความหวังมากขึ้นเพราะมีความรู้ มีการพยายามหาทางออก หรือใช้คำว่า “กฎหมายกำลังจะมา” และระหว่างที่กฎหมายกำลังจะมา จึงใช้โอกาสนี้ในการเริ่มทำอะไรบางอย่างในสังคม ซึ่งหลังจากนี้สถานการณ์ฝุ่นอาจจะไปหนักที่ภาคเหนือ ที่ผ่านมาจะวนแบบนี้เป็นวังวน แต่จากการที่ทุกคนมาร่วมระดมความเห็นจะทำให้คนไทยไม่ต้องเผชิญกันครั้งนี้เป็นแบบเดิม

“ซึ่งเราเรียนรู้ จากการร่างพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ และที่ใช้ว่ากำลังมา เป็นเวลา 8 ปีเพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้ว่าสุขภาพไม่ใช่แค่ต้องไปหาหมอ ไม่ใช่แค่ต้องรอหมอ เราเริ่มที่บ้าน เริ่มที่ชุมชน เริ่มที่สังคม และสุขภาพมันไม่ได้มีแค่ร่างกาย แต่รวมถึงมิติด้านจิตใจ สังคม และปัญญาด้วย เพราะฉะนั้นในตอนนี้กฎหมายที่เราช่วยกันผลักดันมา 6 ปี ไม่ใช่ว่า 6 ปีที่แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเลย เราเริ่มคิดกันเริ่มกฎหมาย แล้ววันนี้กฎหมายกำลังมา แล้วจะใช้กฎหมายนี้ในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไรเป็นเรื่องที่เราสนใจ”

นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท

เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุน มูลนิธิอานันทมหิดล ในฐานะรองประธานสภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร บอกว่า ช่วงผ่านมา 5 ปี ภาคประชาชนได้ทำการศึกษาปัญหาฝุ่น โดยเฉพาะที่มาจากไฟป่า เพื่อจะหาทางแก้ไข โดยหยิบยก ข้อมูลจากแอปพลิเคชัน “ตามไฟ” www.tamfire.net ที่ติดตามการลุกลามของไฟต่อเนื่องหลายวัน เป็นการร่วมมือระหว่างภาคประชาชนกับมหาวิทยาลัย ซึ่งไปที่ต่อเนื่องหลายวันจะเป็น ไฟป่า และเมื่อ 5 ปีที่แล้วพบว่า ไฟป่า เปรียบเหมือน วาฬตัวใหญ่ ของการเผาในที่โล่ง และพบว่า ประเทศไทยมีกองไฟจำนวนมากทั้งกองเล็กกองใหญ่ บางกองใหญ่กว่าพื้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยมีไฟอย่างนี้ประมาณ 3,000 – 4,000 กองต่อปี และจะเห็นว่าอยู่ในป่าเยอะ

และเมื่อย้อนกลับไปดูปี 2564 ปีลานีญาที่ฝนตกชุก แทบไม่มีปัญหาไฟป่าเลย ไม่มีปัญหามลพิษ ขณะที่ ปี 2566 ไฟกลับมาเพราะเป็นปี เอลนีโญ เนื่องจากมีเศษวัสดุค้างมาจากปีก่อน มีคนไปเผาก็จะเกิดไฟมากกว่าปีที่ผ่านมา

“เราพบว่าการเผาในที่โล่งในป่า เป็นวาฬตัวใหญ่ และมีไฟจากการเผาในที่โล่งที่เกิดจากการเกษตรจากการทำนาและปลูกอ้อย 2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ไฟลดลงไปมาก โดยเฉพาะที่น่านและอุตรดิตถ์ ซึ่งประชาชนเป็นพลังที่สำคัญมาก”

เจน ชาญณรงค์

‘ความรู้’ นำการใช้ ‘อำนาจ’ แก้ปัญหาฝุ่น

ไพสิฐ พาณิชย์กุล ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษอากาศ (ศวอ.) ระบุว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านแบบนี้ควรใช้ความรู้นำการใช้อำนาจในการแก้ปัญหา เนื่องจากที่ผ่านมาไทยเกิดการเรียนรู้แล้วว่า การใช้คำสั่งให้ปฏิบัติตามในรูปแบบจากบนลงล่างไม่ได้ผล และในช่วง 2 – 3 ปี ที่ผ่านมา เริ่มมีการนำข้อมูลความรู้มาสู่การออกแบบ หรือการสั่งการที่ถูกจุด เนื่องจากแต่ละพื้นที่มี Point Source (แหล่งกำเนิดที่มีจุดแน่นอน) ที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้น แต่มาจากพื้นที่อื่นก็ได้ ทำให้ต้องมีการคิดวิธีการใหม่ ๆ อย่าง ภาคกลาง หลัก ๆ จะมาจากภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นไฟที่มองไม่เห็น ฝุ่นที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ผลจากการขยายเมืองทำให้มีฝุ่นที่เกิดขึ้นจาการก่อสร้าง และการเผาทางการเกษตร ส่วนภาคเหนือ มีการเผาในพื้นที่ป่า การเผาทางการเกษตร เรื่องฝุ่นข้ามแดน

“หากย้อนกลับไปดูบทเรียนของอาเซียน ของประเทศสิงคโปร์ที่ไม่ได้มีการเผาในประเทศเลย แต่ว่ามีฝุ่นข้ามแดนเข้ามา ซึ่งข้ามมาถึงเมืองไทยด้วย ดังนั้นเรื่องฝุ่นข้ามแดนจะเป็นอีกหนึ่งแหล่งกำเนิดฝุ่น ที่เข้ามาอยู่ในเมืองได้เช่นกัน นี่คือภาพใหญ่ ๆ ของฝุ่นข้ามแดนใน ที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอย่างเดียว ข้ามแดงระหว่างจังหวัดก็มีเช่นกัน เช่น ฝุ่นภาคตะวันออกที่เข้ามาถึงกรุงเทพฯ หรือฝุ่นจากภาคภาคเหนือ ที่ไม่ได้มีการควบคุมการเผาเข้าไปตกในจังหวัดที่มีควบคุมการเผา ซึ่งเราต้องใช้ข้อมูล ใช้ความรู้ในการจัดการที่ซับซ้อนมากกว่าการสั่งการธรรมดา”

ไพสิฐ พาณิชย์กุล

ไพสิฐ จึงเสนอให้มีระบบรัฐแบบเปิด เปลี่ยนทัศนคติในการแก้ปัญหา โดยให้มีภาคประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วม สร้างพื้นที่กลางระดับจังหวัด ระดับชุมชน ทำให้มีความไว้วางใจ และความจริงใจในการแก้ปัญหาอีกด้วย

‘มิสเตอร์ฝุ่น’ รู้ข้อมูล รับมือได้

ขณะที่ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ บอกว่า ฝุ่นเมืองมีความซับซ้อนกว่าฝุ่นนอกเมือง เพราะมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาพร้อม ๆ กัน คือ นอกจากสภาพดินฟ้าอากาศ ยังมีเรื่องป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ อาคารสูงเป็นหมู่ ตรอกซอยที่อับลม ที่ทำให้พื้นที่เหล่านั้นมีฝุ่นอัดอยู่จำนวนมาก ซึ่งสภาลมหายใจกรุงเทพฯ เกิดจากประชาชนตื่นรู้ และไม่อยากเป็นเหยื่อ อยากจะทำความรู้จักกับมลพิษทางอากาศว่าเกิดจากอะไร โดยนำข้อมูลมากางและศึกษา มีนักวิชาการนำข้อมูลที่ประชาชนรวบรวมมาประมวลเป็นความรู้ โดยมีนักสื่อสารสังคมช่วยนำเสนอเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสังคมส่วนรวม โดยสื่อไปถึงทั้ง ผู้ก่อ และ ผู้รับมลพิษ 

“การสื่อสารจากภาคประชาชนถึงประชาชนมีความสำคัญมาก ย้อนไปช่วงน้ำท่วมมีการนำเสนอข้อมูลจากราชการเป็นภาษาวิชาการ น้ำผ่านประตูระบายน้ำ 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประชาชนฟังแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร น้ำไปไหนไม่รู้ แล้วต้องทำอย่างไรก็ไม่ทราบ ต้องยกเข้าของสูงแค่ไหน แต่ภาคประชาชนจะแปลงข้อความเหล่านั้นออกมา เพื่อแปลของยากให้เข้าใจง่าย และสื่อสารต่อด้วยภาษา และระดับของภาษา ด้วยภาษาของพื้นที่นั้น โดยการสื่อสารในเวลาที่สอดคล้องกับกิจวัตรของกลุ่มคนเหล่านั้น กล่าวคือสภาลมหายใจ ต้องมีศิลปะในการสื่อสาร”

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

ปธ.สภาลมหายใจกรุงเทพฯ จึงเสนอว่า ควรมี มิสเตอร์ฝุ่น เป็นคนกลางตามเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะลมเปลี่ยนทิศตามช่วงเวลา ป่าแห้งตามช่วงเวลา ดังนั้นการให้คนในพื้นที่สามารถอ่านและเข้าใจข้อมูลทิศทางลมเพื่อบอกได้ว่าฝุ่นที่เข้ามาพื้นที่เกิดจากแหล่งจุดไหน เพื่อนำไปสู่การหารือร่วมกับเมืองต้นลม  

“สภาลมหายใจ เราเสนอว่า เมื่อทิศทางลมเป็นแบบนี้ ช่วง  ม.ค., ก.พ., มี.ค., เม.ย. ช่วง 4 เดือน ที่จะการเปลี่ยนทิศทางลมอย่างน้อย 4 หน รอบแรกก็จะมาจากตะวันออกเฉียงเหนือ ก็อยากจะชวนรัฐบาลกลางพิจารณา ว่าควรจะตั้งคณะกรรมการให้จังหวัดปลายลม เช่น กทม. และปริมณฑล ที่มีประชากรหนาแน่น และจังหวัดทางอีสานที่อยู่ต้นลม มาคุยกันว่าปลูกอะไร และอยากให้เมืองปลายลมช่วยอะไรบ้าง เขาจะได้ไประดมพลังประชาชน ถ้าไม่อยากจะรับฝุ่นช่วง ม.ค.ที่มาจากอีสาน จะช่วยอะไรได้บ้าง อุปกรณ์เก็บฟาง หรือ อื่น ๆ โดยทำล่วงหน้า 8 : 3 : 1 คือ 8 เดือนล่วงหน้า 3 เดือนไฟมา 1 เดือนถอดบทเรียน ทำทุกปี วางแผนล่วงหน้าก่อน ม.ค. จากนั้น ก.พ. ลมก็เริ่มเปลี่ยนปลายทางไปอยู่ภาคเหนือ ก็เปลี่ยนการหารือไปที่ภาคกลางกับภาคเหนือ”

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

แก้ฝุ่นไม่ใช่แค่บังคับ แต่ต้องสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์

รศ.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ระบุว่า เดือน ม.ค. 2568 กทม. ไม่มีวันที่อากาศดีเลย ซึ่งมาจากข้อมูลตรวจวัดดัชนีคุณภาพอากาศ ขณะที่เมื่อพูดถึงเรื่องการเผาในภาคเกษตรเป็นส่วนหนึ่ง ที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการเกิดมลพิษในเมือง รวมถึงในแง่ของป่า ซึ่งหลังพื้นที่มีทั้งการเผาในพื้นที่เกษตรและในพื้นที่ป่าไม้

“ผมเองได้มีโอกาสไปลงพื้นที่เพื่อลดการพบในนาข้าว จ.นครนายก จ. ฉะเชิงเทรา และ พระนครศรีอยุธยา สิ่งที่ทำคือการเรียนรู้ว่าแต่ละพื้นที่เกษตรกรมีพฤติกรรมอย่างไร และจะแก้ปัญหาอย่างไร เรื่องอ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็มีการศึกษาเหมือนกัน มีทั้งพูดถึงการแก้ปัญหาในภาคเกษตร ที่ภาครัฐกำลังทำอยู่โดยเฉพาะเรื่องห้ามเผา โดยเฉพาะหากเผาแล้วจะไม่ให้ความช่วยเหลือ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันน่าจะสามารถแก้ได้ในระยะสั้น คือ การกำหนดเป้าหมาย เชื่อไหมครับว่าในแผนจัดการวาระแห่งชาติ กำหนดเรื่องของการเผาเฉพาะในอ้อย แต่ข้าวไม่มีการกำหนดเป้าหมาย ว่าจะต้องลดลงปีละเท่าไร ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็ไม่มี

รศ.วิษณุ อรรถวานิช

รศ.วิษณุ บอกอีกว่า อีกอย่างที่รัฐกำลังทำอยู่คือสั่งการบังคับ และให้ปฏิบัติตาม ก็คือห้ามเผา แต่ในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ การแก้ปัญหาไม่ใช่แค่การสั่งการบังคับ แต่ต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าแรงจูงใจทางเศรฐศาสตร์เข้ามาด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาปากท้อง เกษตรกรเผาเพราะต้นทุนสูง ดังนั้น รัฐต้องร่วมสร้างมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อนำไปสู่การลดการเผา

พร้อมเผยความคืบหน้าของร่างกฎหมายอากาศสะอาด ว่า ขณะนี้ กมธ. ทำงานอย่างหนัก ประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อให้เร็วที่สุดและมีคุณภาพ โดยกฎหมายจะแก้ปัญหาปัญหาเชิงโครงสร้าง 4 เรื่อง คือ

  1. สิทธิของประชาชนในการมีอากาศสะอาดหายใจที่รัฐเพิ่งเฉย

  2. เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ โดยใช้มาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ก่อมลพิษ

  3. ตั้งหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพเฉพาะจัดการปัญหา

  4. งบประมาณ ที่จะมีการตั้งกองทุนอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ เพื่อใช้ในการปัญหาโดยตรง

กทม.รับอำนาจจัดการฝุ่นยังมีจำกัด

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. บอกว่า ตั้งแต่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ในปี 2565 ได้ทำโครงการแรก คือ นักสืบฝุ่น ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อศึกษาที่มาของฝุ่น กทม. โดยนำเอาฝุ่นจากเครื่องตรวจวัดของ กทม. ไปให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิเคราะห์แหล่งที่มา พบว่า วันที่ค่าฝุ่นน้อย องค์ประกอบจะมาจากไนเตรต คือ จากรถยนต์ ส่วนวันที่ฝุ่นเยอะ มีค่าโพแทสเซียมเยอะ ซึ่งมาจากการเผาชีวมวล

ที่ผ่านมา กทม. มีข้อเสนอ 10 มาตรการถึงรัฐบาล ซึ่งมาจากการแก้ปัญหาที่อยู่นอกเหนืออำนาจ กทม. เช่น เรื่องการตรวจรถควันดำ เพราะไม่สามารถตรวจรถ 10 ล้อได้ เนื่องจาก กทม.ที่เป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม มีอำนาจตรวจได้เฉพาะรถ 4 ล้อ และขอให้เข้มงวดโดยเพิ่มมาตรฐานการตรวจวัด รวมถึงเรื่องโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีกฎกระทรวงอุตสาหกรรมที่ทำให้ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้เต็มที่ ทั้งที่เป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ กทม. แต่ไม่มีอำนาจเข้าไปจัดการ หากในท้ายที่สุดสามารถดำเนินการให้ กทม.มีอำนาจจัดการก็จะช่วยให้การทำงานแก้ปัญหามลพิษเดินหน้าไปได้

“ประชาชนจะขอให้ กทม. ไปตรวจรถเมล์ควันดำ รถบรรทุก เราทำไม่ได้เลย ก็เลยเป็นเรื่องในเมืองที่เราอยากจะได้อำนาจเพิ่ม หรือ แม้ว่ารถ 4 ล้อที่เราไปตรวจได้ ตรวจเสร็จควันเยอะ ประชาชนเห็นว่าควันดำ แต่ค่าตรวจที่ไม่สูง ตอนตรวจก็ไม่พบว่าดำ เนื่องจากค่าตรวจคือ 30% จึงขอให้ลดลงมาเพื่อให้มาตรฐานเข้มข้นมากขึ้น”

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์

พรพรหม บอกด้วยว่า ผู้ว่า ฯ กทม. ได้เสนอให้ กทม. เป็น เขตควบคุมมลพิษ แต่มีข้อโต้แย้ง ว่า อาจกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่จากการศึกษาพื้นที่ จ.ภูเก็ต ไม่ได้ส่งผลกระทบเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเสนอไปยังกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งเป็นฝ่ายเลขาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประกาศให้ กทม. เป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งจะนำมาสู่การวางแผนจัดการในอนาคตได้ต่อไป

ขณะที่ นาตยา พรหมทอง ผู้อำนวยการสำนักนโยบายสาธารณะภาคกลาง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยด้วยว่า มีเครื่องมือ การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งการแก้ฝุ่น ต้องมีกลไกการแก้ปัญหาในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับชุมชนขึ้นไป โดยให้ชุมชนเข้ามาร่วม และมีฝ่ายมิชาการ เข้ามาสนับสนุนเครื่องมือ ข้อมูล ทำให้ชุมชนที่อยู่ใกล้กับปัญหา ได้มีการออกแบบแนวทางแก้ปัญหา พัฒนาไปเป็นธรรมนูญสุขภาพระดับพื้นที่ได้ โดยสามารถอาศัยเงินจากกองทุนเพื่อดำเนินการได้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active