ภาคประชาชน ชี้ จัดการยาก พื้นที่ซับซ้อน ดาวเทียมมีข้อจำกัด แนะ ใช้ข้อมูลจากโดรน ภาคพื้นดินช่วยยืนยัน พร้อมเสนอเก็บภาษี เพื่อลดแรงจูงใจคนเผา แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
หลังพบข้อมูล การเผาหลบดาวเทียม ในบางพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา สมบัติ บุญงามอนงค์ โพสต์ข้อความระบุ มีไฟป่าที่พื้นที่ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ที่ไม่ปรากฏอยู่ในระบบข้อมูลดาวเทียมที่หน่วยราชการใช้กัน โดยอธิบายว่า วิธีการทำงานของ War room ไฟป่า คือ การเอาข้อมูล Hotspot ดาวเทียมส่งกันทุกเช้า ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากดาวเทียม NOAA ในระบบ VIIRS ซึ่งเทคโนโลยีล่าสุดที่มนุษย์ส่งขึ้นสู่อวกาศเพื่อตรวจจับความร้อนและไฟป่า ในรายงานไฟป่าประจำวันเชียงใหม่ไม่มีจุดความร้อนในระบบ VIIRS ตรวจพบ แต่ดาวเทียมอีกดวงที่ถ่ายจากระบบ MODIS ที่เทคโนโลยีต่ำกว่า ปรากฏว่ามีรายงานพบจุดความร้อน ทีมอาสาดับไฟป่า มูลนิธิกระจกเงา จึงข้ามจาก อ.ลี้ ลำพูนเข้าพื้นที่ อ.ดอยเต่า เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ติดกัน ปรากฏว่าเจอไฟป่าหลายจุด แต่เป็นไฟกองเล็ก ๆ ประมาณ 20 กอง
ขณะที่วันนี้ (12 ก.พ. 68) ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก “ศูนย์ข้อมูลไฟป่าฝุ่นควันจังหวัดเชียงใหม่” ระบุว่า ศูนย์อำนวยการฯ เชียงใหม่ มีการรายงานจุดความร้อน (hotspot) จำนวน 9 จุด ได้แก่ บริเวณ ฮอด 6 จุด และดอยเต่า 3 จุด โดยใช้ข้อมูลจาก suomi-NPP

จากสถานการณ์ดังกล่าว มนตรี ถนัดค้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนโดมิเตอร์ จำกัด หนึ่งในผู้ที่ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมเพื่อคาดคะเนการเกิดภัยพิบัติ เปิดเผยกับ The Active ว่า ในกรณีของการตรวจจับไฟป่าที่ตรวจจับได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะจุดที่เป็นไฟป่าขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า “ไฟผี” ที่อาจเป็นต้นกำเนิดของการลุกลามเป็นไฟป่าได้นั้น เกิดขึ้นจากข้อจำกัดของชนิดดาวเทียม
ปัจจัยหลักที่ทำให้ดาวเทียมที่ใช้ตรวจจับไม่พบ มีอยู่ด้วยดันอย่างน้อย 3 สาเหตุ ได้แก่ ตัว sensor วิธีการแปลความหมาย และความถี่ของการโคจรดาวเทียม
มนตรี ชี้ว่า ปัจจุบันหน่วยงาน FIRMS ของ NASA สหรัฐอเมริกา มีเครื่องมือดาวเทียมทั้งหมด 7 รูปแบบให้เลือกใช้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ การตรวจจับร่องรอยการเกิดไฟ และการตรวจจับจุดที่กำลังลุกไหม้แบบ real time ซึ่งโดยหลักการจะมีทั้งการอ่านภาพถ่ายจากดาวเทียมและการใช้เครื่องอินฟราเรด และแปรความหมายเป็นคลื่นความร้อน
สำหรับการทำงาน เมื่อตรวจเจอจุดความร้อน จะมีการแสดงค่าความน่าเชื่อถือของข้อมูล ที่เรียกว่า ค่า “confidence” โดยการให้เป็นระดับคะแนน เพื่อแสดงความมั่นใจว่าจุดที่ตรวจจับคือจุดความร้อนจริง ไม่ใช่เพียงสัญญาณรบกวน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นวิธีที่มีคุณภาพดี และใช้ในระดับโลก

กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนโดมิเตอร์ จำกัด
อย่างไรก็ตาม ดาวเทียมแต่ละแบบมีคุณสมบัติที่ไวต่อจุดความร้อนที่ต่างกัน บ้างก็มีประสิทธิภาพในการตรวจจับไฟเล็ก แต่มีจุดบอดเมื่อจับไฟใหญ่ หรือ บางตัวอาจใช้ไม่ได้กับพื้นที่ที่มีสนามแม่เหล็กผิดปกติ เช่น แอตแลนติกตอนใต้ และใช้ได้ดีในบางพื้นที่ พอนำมาประยุกต์ใช้กับภูมิศาสตร์ในประเทศไทย อาจมีความคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน
“แม้จะมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน แต่ดาวเทียมแต่ละตัวก็มีจุดแข็ง จุดอ่อนต่างกัน มีความคลาดเคลื่อนได้เสมอ และยังมีโอกาสที่จะตรวจจับไม่เจอจุดความร้อนบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีเมฆบัง อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งเพียงเพราะจุดความร้อนนั้นแผ่วเบาลงหรือหายไปในช่วงที่ดาวเทียมโคจรผ่านมาพอดี”
การทำงานของดาวเทียม ในวันหนึ่งอาจมีดาวเทียมโคจรผ่านมา 4-6 ครั้งรอบโลก และไม่ได้วิ่งผ่านประเทศไทยตลอดเวลา การโคจรของดาวเทียมก็ไม่ได้เท่ากับความเร็วที่โลกหมุน หมายความว่า ในจุดเดิมจะไม่ได้มีการเจอดาวเทียมตลอดเวลา และการโคจรแต่ละครั้งก็ไม่ได้ผ่านมาใจจุดเดิมพอดี อาจมีแกว่ง หรือเยื้องไปเล็กน้อยบ้าง ความละเอียดอ่อนตรงนี้ก็เป็นข้อจำกัดเช่นนั้น
ดาวเทียม-โดรน-ภาคพื้นดิน : ข้อมูลทุกส่วนต้องนำมาประกอบกัน
มนตรี ให้ความเห็นว่า ไฟป่าเป็นภัยพิบัติที่คาดเดาได้ยาก แตกต่างจากน้ำท่วมที่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ง่ายกว่า โดยการคำนวณได้จากปริมาณน้ำฝนและความชื้นของดิน คาดเดาทิศทางได้ เพราะน้ำย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ และยังประเมินช่วงเวลาที่น้ำกำลังจะมาได้ด้วย
แต่สำหรับไฟป่าที่มักเกิดในพื้นที่ซับซ้อน มีทั้งเมฆบังและต้นไม้ใหญ่ ทำให้การใช้ดาวเทียมมีข้อจำกัด อีกทั้งมักเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้

“จากการศึกษาในปีที่ผ่านมา ข้อมูลจาก VIIRS-SNPP-NRT พบว่า ตลอด 365 วันที่ผ่านมา เจอการจุดไฟ 155,000 ครั้งต่อปี หรือ ราว 425 ครั้งต่อวัน โดยเฉลี่ย และเกิดขึ้นทั่วประเทศ กระจุกตัวบริเวณภาคเหนือ/ภาคตะวันตก/และบริเวณรอยต่อภาคกลางและภาคอีสาน ที่เกิดจากความตั้งใจของมนุษย์ที่หลากหลาย คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดตรงจุดไหนกันแน่ ทำให้ไม่สามารถเฝ้าระวังได้”
ฉะนั้นแล้ว การระบุจุดที่เกิดไฟป่าจำเป็นต้องใช้ข้อมูลหลายส่วนประกอบ นอกจากการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ที่มีข้อจำกัดแล้ว ยังควรเน้นการทำงานภาคสนาม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานท้องถิ่น อาสาสมัคร หรือประชาชน ที่เข้าถึงพื้นที่ร่วมด้วย
“สิ่งที่เรายังขาดคือการ reconfirm ข้อมูลหน้างานร่วมกัน ดาวเทียมอาจทำหน้าที่ได้ระดับหนึ่งแต่ก็มีข้อจำกัด คนทำงานภาคสนามหน้างานจึงสำคัญมาก แต่ต้องมีการเชื่อมต่อ รายงานผลร่วมกัน เพื่อให้แม่นยำที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”
แนะจัดการแรงจูงใจ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
มนตรี ย้ำว่า การไล่จับจุดที่เกิดไฟป่าทีละจุด ดูจะเป็นเรื่องยากเกินไป และจุดเริ่มต้นของปัญหาไฟป่า หรือ ไฟในพื้นที่เกษตร ส่วนใหญ่เกิดจากมนุษย์ การแก้ปัญหาได้ในวงกว้างควรเป็น การจัดการกับแรงจูงใจมากกว่า
กล่าวคือ ทำให้เห็นว่า การไม่เผาช่วยลดต้นทุนมากกว่าการเผา หรืออาจมีบทกฎหมายกำหนดเรื่องภาษี เช่น หากระบุได้ว่ามีการเผาที่บริเวณใด ผู้ครอบครองโฉนดที่ดินนั้นต้องจ่ายภาษีที่ดินในอัตราที่สูงมาก หรือตัดเงินเยียวยาจากทางรัฐ กรณีที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เพื่อให้รู้สึกว่าการเผาไม่มีความคุ้มค่าใด ๆ อีกต่อไป
“การเผาในพื้นที่เกษตร ควรดึงท้องถิ่น อบต. อบจ. เทศบาล เข้ามาร่วมจัดการด้วย เนื่องจากมีกำลังมีงบประมาณและอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยหัวใจสำคัญคือ ขอให้เปิดข้อมูลให้โปร่งใสบนแผนที่ สนับสนุนเทคโนโลยีที่มีความพร้อม และควรสร้างแรงจูงใจ หรือบทลงโทษ ให้กับประชาชน เพื่อให้เข้าใจว่าการเผานั้นไม่คุ้มค่าอีกต่อไป”