รัฐหาทางแก้มลพิษข้ามแดนหรือยัง ? ชี้ ‘เชียงราย’ วิกฤตแน่ ถ้าไม่หยุดเหมืองทอง เมียนมา

ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ ยกเคสฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ปนเปื้อนตะกั่ว ชี้แค่แหล่งน้ำเล็ก ๆ ยังใช้งบฯ 600 ล้าน เทียบไม่ได้กับแม่น้ำสาย-น้ำกก เชื่อใช้งบฯ มหาศาลแน่ ยังไม่นับผลกระทบสุขภาพ แล้วรัฐเตรียมการหรือยัง ? เสนอ 3 ข้อเรียกร้อง ประเมินผลกระทบด่วนใช้เป็นข้อมูล ก่อนคุยเพื่อนบ้าน

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 68 เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุในเวทีแก้ปัญหาเหมืองแร่ในเมียนมาผลกระทบข้ามพรมแดนปนเปื้อนสารโลหะในแม่แม่น้ำกก-สาย ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) จัดขึ้น ว่า หลังจากติดตามข่าวรู้สึกกังวลว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเมื่อฟังข้อมูลจากภาคประชาชนและหน่วยงานรัฐเชื่อว่าทุกคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หมดแต่ไม่รู้จะไปยังไงต่อ 

โดยส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ไปแก้ที่ปลายทางไม่ได้ หน่วยงานราชการไทยยังทำไม่ได้มาก เพราะต้นทางของแหล่งกำเนิดที่เกิดขึ้นเกิดในประเทศเมียนมา จึงต้องหยุดที่ต้นเหตุให้ได้  ซึ่งต้องอาศัยกลไกการเจรจา ซึ่งการเจรจาเชื่อว่าจะทิ้งประเทศจีนไม่ได้ต้องมีประเทศจีนร่วมด้วย 

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ

จากการติดตามข่าวสารและพูดคุยกับพื้นที่ ในเอกสารภาษาอังกฤษหลายฉบับชี้ไปในทิศทางคล้ายกัน  ก่อนปี 2560 จีนได้กวาดล้างบริษัททำเหมืองโดยเฉพาะเมืองทองที่ผิดกฎหมายในประเทศจีน ซึ่งในประเทศจีนกำลังผลักประเทศให้เข้าสู่การรักษาสิ่งแวดล้อมและฟื้นฟูในประเทศ ดังนั้นอะไรที่เป็นโรงงานหรือบริษัทที่ทำผิดกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานรีไซเคิล โรงงานเหมืองในประเทศจีนถูกสั่งปิดหมด

เพ็ญโฉม บอกอีกว่า บริษัทจีนที่ถูกกวาดล้าง เข้าใจว่าส่วนหนึ่งจะย้ายมาที่ไทยหลายบริษัท ซึ่งตอนนี้เป็นประเด็นมาก ส่วนหนึ่งน่าจะไปทำเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา โดยพบการทำเหมืองทองมีประมาณ 11 เหมือง 

“คิดว่าการทำเหมืองไม่น่าจะมีโรงแต่งแร่ น่าจะมีการระเบิดแล้วเปิดหน้าดิน เอาสินแร่ ที่เป็นทองอยู่ในดินเอาขึ้นมาก่อน น่าจะมีกองสินแร่กับกองหินทิ้งเป็นปริมาณมาก เมื่อระเบิดหน้าดินและมีการขุดขึ้นมา กลุ่มเพื่อนแร่ในโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนูที่เป็นองค์ประกอบหลักของแร่ธาตุ ในพื้นที่เมื่อดูภาพแล้วและข้อมูลที่ได้มาแทบไม่มีหนทางเลย ที่จะแก้ที่ต้นทาง ถ้าหยุดต้นทางไม่ได้ คิดว่า จ.เชียงราย น่าจะกลายเป็นพื้นที่ปนเปื้อนมลพิษที่อาจจะใหญ่ที่สุดของประเทศก็ได้ รวมถึงพื้นที่แม่สายด้วย”

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง

แนะไทยเร่งประเมินความเสียหาย ศก. – สุขภาพ ก่อนเจรจาเมียนมา-จีน

ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังเสนอทางออกการแก้ปัญหา โดยขอให้เร่งเจรจากับเมียนมา ซึ่งจะต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ในการเจรจาเพื่อให้สัมฤทธิ์ผล แต่ปัญหาที่พบตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในความทุกข์เดือดร้อนแต่ประเทศเมียนมา และจีนไม่ได้รับความเดือดร้อนด้วย โดยคิดว่าการเจรจาปากเปล่าและไม่มีข้อมูลไปสนับสนุน หน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องศึกษาประเมินความเสียหายอย่างน้อย 3 ด้านหลักที่เกิดขึ้น บริเวณ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และพื้นที่ของ จ.เชียงรายที่ได้รับผลกระทบ

  • อันดับแรก คือ ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ต้องมีการประเมินตัวเลขความเสียหาเพื่อให้เห็นว่านับตั้งแต่มีสึนามิโคลนมาจนถึงปัจจุบันภาคธุรกิจเสียหายไปเท่าไรคิดเป็นเงินเท่าไรแล้ว

  • สอง คือ ความเสียหายทางด้านสุขภาพ ต้องประเมินผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะในอนาคตผลกระทบในเชิงระบบทางระบาดวิทยาโดยเฉพาะจากสารหนู หรือ ตะกั่ว  ซึ่งถ้าประเมินในเชิงระบาดวิทยาจะสามารถคำนวณตัวเลขความเสียหายด้านสุขภาพได้ระดับหนึ่งในอนาคต ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะต้องมีงบประมาณเพื่อที่จะดูผลกระทบในด้านนี้ด้วย

  • ส่วนที่สาม ผลกระทบถ้าจะต้องฟื้นฟูสารพิษที่ปนเปื้อนต้องใช้งบประมาณเท่าไร ตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่นบางพื้นที่การฟื้นฟูแม่น้ำที่ปนเปื้อนจากการทำเหมือนโลหะหนักไม่สามารถบรรเทาได้เนื่องจากใช้งบประมาณมหาศาล เช่น แม่น้ำจินซู ใน จ.โทยามะ ที่ปนเปื้อนแคดเมียมทั้งสาย ญี่ปุ่นทิ้งไว้แบบนั้นให้เป็นเรื่องของธรรมชาติไป แต่นาข้าวมีการฟื้นฟู ด้วยการขุดลอกหน้าดิน ไปกำจัดดินที่ปนเปื้อนของเสีย

ส่วนกรณีที่เชียงราย ไม่รู้ว่าโคลนที่มามีการปนเปื้อนโลหะหนักอะไรบ้างหรือมีมากแค่ไหน ถ้ามีการปนเปื้อนที่เกินเกณฑ์มาตรฐานก็เข้าสู่หลักของเสียอันตราย ถ้าเป็นของเสียอันตรายปริมาณที่มหาศาลอาจจะต้องขุดไปทิ้งไป คำถามคือทิ้งที่ไหน

“กรณีเหมืองคลิตี้ จ.กาญจนบุรี กรมควบคุมมลพิษต้องฟื้นฟูว่าจ้างบริษัทมีการขุดลอกตะกอนในลำห้วยที่มีการปนเปื้อน ตะกอนดินที่มีการปนเปื้อนตะกั่วในปริมาณที่สูงมาก เฟสแรกกรมควบคุมมลพิษต้องจ่ายไปมากถึง 450 ล้านบาท เฟสที่สองอีก 200 ล้านบาท เฉพาะลำห้วยที่ไม่ได้ใหญ่ปนเปื้อนแบบเชียงรายก็ใช้งบประมาณไป 600 กว่าล้านบาท กรณีจังหวัดเชียงรายที่ปนเปื้อนอาจจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเท่าไร ยังไม่ต้องพูดถึงงบประมาณในด้านสุขภาพ

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง

จี้ภาครัฐเตรียมงบฯ ติดตามผลกระทบระยะยาว

ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังระบุถึง การป้องกันสารพิษในไทยและการเฝ้าระวังในระยะยาว เช่น การตรวจวัดตะกอนท้องน้ำและตรวจคุณภาพน้ำระยะยาว ตอนนี้หน่วยงานราชการมีงบประมาณหรือไม่  แต่พื้นที่ต้องมีการศึกษาและเฝ้าระวังระยะยาว ซึ่งจะต้องมีการตามดูการกระจายตัวของสารพิษเหล่านี้ในโคลนและน้ำ เช่น การสะสมของสารหนูอย่างไร ปริมาณเท่าไรซึ่งน่าจะมีการตรวจ เพื่อให้ชาวเชียงรายสบายใจ ถึงขั้นที่ว่าอาจจะไม่มีผลกระทบชีวิตและความเป็นอยู่ แต่ถ้าอยู่ในระดับสูงต้องประกาศเป็นที่ปนเปื้อนเพื่อความปลอดภัย

ส่วนข้าว หรือ พืชอาหารใช้น้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จะต้องมีการสุ่มตัวอย่างว่ามีการสะสมไปแล้วหรือไม่เพราะว่าสารหนูที่ตรวจพบเป็นสารก่อมะเร็งถ้าสัมผัสแบบเรื้อรังจะเป็นอันตราย ตัวอย่าง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช มีอยู่แล้วซึ่งตอนนี้ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังกันอยู่แม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 30 ปีแล้วก็ตาม

สำหรับพื้นที่ไม่ได้มีการปนเปื้อน เพราะไม่รู้ว่าเส้นทางน้ำใต้ดินเป็นอย่างไรทิศทางไปอย่างไรอาจจะต้องมีการสุ่มตรวจตัวอย่างน้ำบ่อตื้น และน้ำบาดาลบ่อตื้นและชั้นลึกเพื่อดูว่ามีการปนเปื้อนหรือไม่ โดยการตรวจเพื่อให้รู้ว่าจะได้เฝ้าระวัง ถ้าไม่มีการปนเปื้อนจะได้ใช้น้ำอย่างสบายใจน้ำตรงนี้มีความสำคัญมากเพราะเป็นน้ำดื่มน้ำใช้  ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานให้คำแนะนำในการเฝ้าระวังเป็นเพียงแค่คำแนะนำ ซึ่งยังไม่ใช่ทางออก

“คนที่อยู่แม่น้ำและกินปลาไม่ได้มีความทุกข์มาก และสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจด้วย คนอยู่ใกล้แม่น้ำ เอาน้ำไปใช้การเกษตรไม่ได้เป็นความทุกข์ที่มหาศาลมาก หน่วยงานรัฐต่าง ๆ พยามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ต้องเจรจาระหว่างประเทศและต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน และความเร่งด่วนต้องมีข้อมูลด้านความเสียหายที่เกิดขึ้นในประเทศเบื้องต้น ว่า เฉพาะช่วงที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจของเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากสารพิษที่เป็นมูลค่าประมาณเท่าไร” 

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง

กต.ยันประสานเมียนมา ตรวจสอบข้อเท็จจริง หาทางออกแล้ว

ด้าน ผู้แทนจากกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) บอกว่า การแก้ปัญหาเหมืองทองในเมียนมาได้สั่งการให้สถานทูตไทยในกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ประสานกับรัฐบาลเมียนมาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและทางออกที่เป็นรูปธรรมเพื่อเแก้ปัญหาเหมืองแร่ ขณะที่ในประเทศไทยได้เชิญทูตเมียนมาประจำกรุงเทพฯ พูดคุยเพื่อแสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและผลกระทบในประเทศไทย 

ส่วนข้อเสนอการเจรจาในระดับสูงขึ้นไประดับกระทรวงฯ พยายามหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยอยู่แล้ว โดยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศหรือของรัฐบาล หากมีการพบกับฝ่ายเมียนมาจะนำประเด็นเหมืองแร่และผลกระทบขึ้นมาหารือ

ผู้แทนจากกรมเอเชียตะวันออก ยังเสนอถึงสถานการณ์ในประเทศเมียนมา นอกเหนือจากการดำเนินการทางการทูต หน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่สามารถมีบทบาทร่วมในการช่วยการเจรจาได้ เริ่มจากท้องถิ่นถึงระดับกองทัพ ส่วนกฎหมายควบคุมการทำเหมืองแร่ในเมียนมา มีหรือไม่ ? ผู้แทนจากกรมเอเชียตะวันออก ระบุ ขอไปศึกษาในรายละเอียด

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active