แนะประกาศ ‘พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม’ จัดการวิกฤตปนเปื้อนน้ำกก-น้ำสาย

‘สนธิ คชวัฒน์’ ชี้ช่องกฎหมาย ยกระดับพื้นที่ประสบปัญหามลพิษ ให้เป็นพื้นที่พิเศษ รัฐทำได้ทันที ออกข้อกำหนดควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ยุติกิจกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง พร้อมใช้งบฯ ป้องกันความเสียหาย เชื่อ ‘ฝายดักตะกอน’ ชั่วคราว ช่วยกรอบโลหะหนักได้ ย้ำใช้โอกาสเวทีอาเซียน เจรจาเมียนมาจัดการต้นตอ

สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ให้ความเห็นกับ The Active ถึงแนวทางกฎหมายในการรับมือปัญหามลพิษสารหนู และตะกั่วในแม่น้ำสาย และแม่น้ำกก ที่เชื่อมโยงกับการทำเหมืองทองคำในฝั่งรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยบอกว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษตามกฎหมายไทยไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ เพราะแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่ต่างประเทศ

“ถ้าใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ประกาศเขตควบคุมมลพิษไม่ได้แน่นอน เพราะตามหลักต้องควบคุมที่แหล่งกำเนิด ซึ่งในกรณีนี้อยู่ต่างประเทศ เราไม่มีอำนาจจัดการโดยตรง”

สนธิ คชวัฒน์

ภาพ : โกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ

แนะมาตรการ ‘พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม’ แทนได้ แต่ต้องมีแผนชัดเจน

สนธิ ยังชี้ว่า เครื่องมือทางกฎหมายที่ไทยสามารถใช้ได้จริงในฝั่งของตัวเอง คือ การประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งไม่ใช่การควบคุมแหล่งกำเนิด แต่เป็นการป้องกันผลกระทบในพื้นที่ที่ได้รับผลจากมลพิษ

“ถ้าจะให้รัฐไทยทำอะไรได้ในพื้นที่เราเอง ต้องใช้มาตรการประกาศ พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพราะการประกาศเขตควบคุมมลพิษทำไม่ได้ เนื่องจากแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่ในเมียนมา”

สนธิ คชวัฒน์

พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม – เครื่องมือชั่วคราวที่ทำได้ทันที

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ยังอธิบายด้วยว่า การประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นการยกระดับพื้นที่ที่ประสบปัญหามลพิษให้เป็นพื้นที่พิเศษ ที่สามารถออกข้อกำหนดควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือการดำเนินกิจกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ เช่น การห้ามใช้น้ำบริเวณที่ปนเปื้อน การย้ายประชาชนออกจากจุดเสี่ยง หรือแม้แต่การจัดการน้ำไม่ให้ไหลผ่านพื้นที่เกษตร

“อย่างที่ภูเก็ต เราห้ามสร้างบ้านบนเขาเกิน 35% ของพื้นที่ เพราะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครอง เช่นกัน ถ้ารัฐประกาศพื้นที่คุ้มครองในตลาดสายลมจอย หรือแม่สาย เราจะสามารถขอให้คนอย่าเพิ่งใช้น้ำ หรือขอความร่วมมือให้ย้ายออกได้ แล้วใช้งบประมาณจากรัฐป้องกันความเสียหาย”

สนธิ คชวัฒน์

แม้มาตรการดังกล่าวไม่สามารถจัดการที่ต้นตอของปัญหาได้โดยตรง แต่ สนธิ ก็เห็นว่า นี่คือสิ่งที่รัฐสามารถทำได้ทันที เพื่อชะลอความเสียหายที่เกิดกับประชาชนในฝั่งไทย

สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

การเจรจาข้ามแดน – ต้องเกิดขึ้นควบคู่

ขณะเดียวกัน สนธิ ยังย้ำว่า การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต้องมุ่งไปที่การเจรจากับเมียนมา โดยเฉพาะในบริบทของ มลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งมีเครื่องมือในระดับภูมิภาคอย่าง กฎหมายมลพิษข้ามแดนของอาเซียน รองรับอยู่แล้ว

“อย่างกรณีฝุ่น PM2.5 เราใช้เวทีอาเซียนให้เลขาธิการแจ้งให้ประเทศต้นทางหยุดการเผา แบบเดียวกันนี้ รัฐบาลไทยสามารถขอให้เมียนมาหยุดปล่อยน้ำเสีย และบรรจุเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนของอาเซียนได้”

สนธิ คชวัฒน์

แม้การเจรจาจะไม่ง่าย เพราะกิจกรรมเหมืองที่เป็นต้นตอของมลพิษในเมียนมานั้นหลายแห่งเป็น เหมืองเถื่อน และเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น เช่น กลุ่มว้า แต่ก็เชื่อว่า เวทีอาเซียน คือ โอกาสที่ไทยต้องใช้ให้เต็มที่

“เมียนมาก็เป็นเจ้าของประเทศ ถึงจะเป็นพื้นที่กลุ่มว้าก็ต้องรับผิดชอบ เราต้องเจรจา กดดัน หรือแม้แต่ใช้ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนกดดันต่ออีกชั้น”

เห็นด้วยสร้าง ‘ฝายดักตะกอน’ – ป้องกันน้ำปนเปื้อนเข้าพื้นที่เกษตร

นอกจากแนวทางเชิงนโยบายและกฎหมาย สนธิ ยังเสนอแนวทางทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เช่น การสร้างฝายดักตะกอนสารพิษแบบชั่วคราว โดยอ้างอิงจากกรณีฝายที่ห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเคยใช้จัดการกับสารตะกั่ว จากเหมืองคลิตี้ได้ผลในระดับหนึ่ง

“ตะกอนที่ไหลมาจากฝั่งโน้นมีสารหนูกับตะกั่วสูงมาก ถ้าเราทำฝายกรองตะกอนแบบง่าย ๆ ใส่อิฐ ทราย ผงถ่าน ขี้เถ้า เรียงกันเป็นชั้นไว้ในตะกร้าลวด น้ำที่ไหลผ่านก็จะลดโลหะหนักลงได้ถึง 80%”

สนธิ คชวัฒน์

ภาพ : โกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ

นักวิชาการ ยังชี้ว่า ถึงแม้ระบบกรองจะไม่สามารถจัดการกับโลหะหนักที่อยู่ในรูปสารละลายได้ทั้งหมด แต่สามารถลดปริมาณโดยรวมและความเข้มข้นลงได้อย่างมาก และเมื่อต้นทางหยุดปล่อยมลพิษแล้ว ก็สามารถรื้อฝายออกได้ภายหลัง

ต่อเสียงวิจารณ์ว่ากรณีฝายที่ห้วยคลิตี้ไม่ประสบความสำเร็จนั้น สนธิ มองว่า เป็นความเข้าใจผิด เพราะในความเป็นจริงสามารถกรองตะกอนมลพิษได้ถึง 80% แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถือว่าช่วยลดความเสียหายได้มาก

ทางเลือกการฟ้องร้อง – ทำได้ แต่ยังไม่รู้ตัวผู้กระทำ

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการฟ้องร้องเอกชนผู้ก่อมลพิษในต่างประเทศ ตามแนวทางที่ไทยเคยใช้ในกรณีน้ำมันรั่วนั้น สนธิ มองว่า “เป็นไปได้ในหลักการ” แต่ติดที่ข้อเท็จจริงว่า ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าใครเป็นผู้ดำเนินการเหมือง เพราะหลายแห่งเป็นกิจการเถื่อน

จากข้อมูลที่ได้ มีเหมืองถูกต้องตามกฎหมายเพียง 25 แห่ง อีกกว่า 60 แห่งเป็นเหมืองเถื่อนทั้งหมด เราไม่รู้เลยว่าใครอยู่เบื้องหลัง จึงฟ้องเอกชนไม่ได้ ถ้าจะฟ้องก็ต้องฟ้องพม่า ซึ่งต้องผ่านเวทีอาเซียนเท่านั้น”

สนธิ คชวัฒน์

พร้อมทั้งอธิบายว่า เหมืองในฝั่งเมียนมาส่วนใหญ่ใช้วิธี ชะแร่ ด้วยการฉีดสารเคมีเข้าสู่หิน แล้วแช่ด้วยเคมีเพื่อสกัดแร่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำลายสิ่งแวดล้อมรุนแรง และไม่สามารถควบคุมได้หากอยู่นอกขอบเขตของรัฐไทย

ข้อเสนอเร่งด่วนก่อนประชุมที่ทำเนียบฯ

ก่อนการประชุมอนุกรรมการแก้ไขปัญหาน้ำปนเปื้อนที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ณ ทำเนียบรัฐบาล สนธิ จึงแสดงความคาดหวังว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินการมาตรการป้องกันในพื้นที่ฝั่งไทยก่อน เช่น การออกแบบ ฝายชะลอน้ำ และเริ่มกระบวนการประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมในเขตที่ได้รับผลกระทบ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active