แจง ‘ธาตุกัมมันตรังสี’ มีโอกาสพบได้ในธรรมชาติ แต่ค่ายังไม่เข้มข้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่อยู่ในระดับที่ต้องกังวล เชื่อ ยังไม่จำเป็นต้องเร่งตรวจหากัมมันตรังสีในแม่น้ำกก ชี้เป้า อันตรายของจริงอยู่ที่สารเคมีสกัดแร่ ด้าน นักวิชาการสิ่งแวดล้อม ย้ำ ใช้นิติวิทยาศาสตร์ หาความเชื่อมโยง การปนเปื้อนจากเหมืองได้
สืบเนื่องจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ รศ.ธนพล เพ็ญรัตน์ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Flash Talk ทาง The Active ระบุว่า เคยลงพื้นที่เหมืองหลายแห่งในเมียนมา พบหลายพื้นที่มีการทิ้งหางแร่อย่างรุนแรง จนทำให้ “ลำห้วยหายไปทั้งสาย” จากการทิ้งซากหินจำนวนมาก
“บางพื้นที่เดินเข้าไปเจอแต่กองหิน พื้นที่ที่เคยเป็นห้วยก็ไม่มีแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าเหมืองที่ไม่มีมาตรฐานสามารถสร้างผลกระทบรุนแรงได้แค่ไหน”
รศ.ธนพล เพ็ญรัตน์

(ที่มาจาก : โกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ )
ธนพล ระบุว่า เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) มักพบร่วมกับแร่กัมมันตรังสี เช่น ยูเรเนียม หรือทอเรียม ซึ่งมีศักยภาพในการปนเปื้อนที่รุนแรงกว่า
“ผมเคยเก็บตัวอย่างจากเหมือง rare earth ที่เมียนมา พบว่า มีค่ากัมมันตรังสีสูง และมีลักษณะเฉพาะที่สามารถใช้เป็น ลายนิ้วมือทางนิติวิทยาศาสตร์ได้ เพื่อใช้พิสูจน์ว่าแหล่งปนเปื้อนมาจากเหมืองไหน”
รศ.ธนพล เพ็ญรัตน์
รศ.ธนพล ยังแนะนำว่า หน่วยงานไทยควรตรวจวัดระดับสารหายาก และกัมมันตรังสีในน้ำ หากพบว่า สูงผิดปกติ ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานเจรจาเรียกร้องให้หยุดการปล่อยของเสียได้
ล่าสุดทางด้าน ธวัชชัย เชื้อเหล่าวานิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยและพัฒนาธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี ให้สัมภาษณ์ The Active ถึงประเด็นข้อกังวลเรื่องการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจากการทำเหมืองแร่ Rare Earth ในประเทศเมียนมา ว่า โดยธรรมชาติของหินบางชนิด เช่น หินแกรนิต มีโอกาสพบธาตุกัมมันตรังสี อย่างยูเรเนียม หรือทอเรียมในปริมาณเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่พบในธรรมชาติโดยทั่วไปยังถือว่า “ไม่เข้มข้นพอที่จะเป็นอันตราย” และ ยังไม่มีความจำเป็นต้องตรวจหาสารกัมมันตรังสีในแม่น้ำกก ซึ่งรับน้ำจากชายแดนไทย–เมียนมา

(ที่มาจาก : โกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ )
“ธาตุกัมมันตรังสีพวกนี้ มีอยู่ตามธรรมชาติในหินบางชนิดอยู่แล้ว แต่ปกติมันจะกระจายตัว ไม่ได้รวมตัวกันเข้มข้นในระดับที่เป็นอันตราย เว้นเสียแต่มันไปสะสมอยู่ในตัวแร่ซึ่งเป็นแร่องค์ประกอบของหิน”
ธวัชชัย เชื้อเหล่าวานิช
ธวัชชัย ยังอธิบายว่า หากนำดินหรือหินผุมาตรวจสอบ อาจพบค่ากัมมันตรังสีบางส่วน แต่ค่าเหล่านั้นแตกต่างกันไปตามจุดที่ตรวจ และโดยทั่วไป “ยังไม่ถึงระดับที่ต้องกังวล” โดยธรรมชาติธาตุกัมมันตรังสีจะไม่ปลดปล่อยพลังงานสูงมากนัก เว้นแต่จะมีการสกัดแยกและเข้มข้นสารโดยเฉพาะ ซึ่งต้องเป็นกระบวนการเฉพาะทาง
ไม่มีความจำเป็น! ตรวจหา ‘กัมมันตรังสี’ ในแม่น้ำกก
ส่วนประเด็นข้อกังวลว่าแม่น้ำกกอาจมีการปนเปื้อนกัมมันตรังสีจากเหมืองในเมียนมา ธวัชชัย ระบุว่า ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องตรวจหากัมมันตรังสีในแม่น้ำกก เนื่องจากถ้ามีสารปนเปื้อนหลุดออกมาจากเหมืองจริง สารเหล่านั้นจะถูกเจือจางกระจายตามกระแสน้ำ ไม่ก่อให้เกิดความเข้มข้นสูงจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
“ถ้าจะตรวจดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่คงจะได้เพียงค่า background เพื่อใช้อ้างอิงเท่านั้น ไม่ได้เป็นค่าที่จะบ่งชี้ถึงอันตรายอะไร”
ธวัชชัย เชื้อเหล่าวานิช
สำหรับการวัดค่ากัมมันตรังสี ที่มีผลต่อสุขภาพนั้น ธวัชชัย อธิบายว่า จะต้องพิจารณาจาก “ค่าการปลดปล่อยรังสี” ไม่ใช่เพียงแค่ค่าธาตุเคมีที่ตรวจเจอ ซึ่งการวัดแบบนี้ต้องใช้อุปกรณ์และมาตรฐานเฉพาะทางที่ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า
“ถ้าถามว่าธาตุกัมมันตรังสีมีมั้ย มันมีครับ แต่ถ้าไม่ปล่อยรังสีออกมา มันก็ไม่เป็นอันตราย ที่สำคัญคือมันต้องมีปริมาณความเข้มข้นระดับหนึ่งถึงจะส่งผลต่อสุขภาพ”
ธวัชชัย เชื้อเหล่าวานิช

อันตรายแท้จริงอยู่ที่ ‘สารเคมีสกัดแร่’
เมื่อถามถึงข้อห่วงกังวลอื่น ๆ ที่อาจมีมากกว่าปัญหากัมมันตรังสี ธวัชชัย ชี้ว่า สารเคมีที่ใช้ในกระบวนการสกัดแร่หายาก อาจเป็นปัญหาได้มากกว่า โดยเฉพาะหากมีการใช้ แอมโมเนียมซัลเฟต ซึ่งเป็นสารเคมีที่นิยมใช้ในการสกัดแร่กลุ่มนี้
แม้แอมโมเนียมซัลเฟต จะไม่ใช่สารพิษร้ายแรง และโดยพื้นฐานยังใช้เป็นปุ๋ยในภาคเกษตรกรรมได้ แต่หากมีการใช้ในปริมาณมากและรั่วไหลออกสู่แหล่งน้ำ ก็อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในบริเวณที่น้ำไหลช้า หรือกลายเป็นแอ่งน้ำขัง
“ถ้าสารเคมีเหล่านี้ไหลลงในน้ำที่มีการไหลเวียนดี มันก็จะถูกเจือจางและไม่เกิดผลกระทบมากนัก แต่ถ้าไหลลงแอ่งน้ำที่เอื่อยๆ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ในระยะยาว”
ธวัชชัย เชื้อเหล่าวานิช
ธวัชชัย ยังย้ำว่า ข้อมูลในครั้งนี้ยังเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นจากประสบการณ์และภาพถ่ายบางส่วน เนื่องจากยังไม่เคยลงพื้นที่เหมืองแร่หายากในเมียนมาโดยตรง และไม่ได้เห็นกระบวนการผลิตจริงทั้งหมด จึงไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าสารเคมีชนิดใดถูกใช้ หรือมีการควบคุมอย่างไร
ผู้เชี่ยวชาญจากกรมทรัพยากรธรณี เน้นย้ำว่า แม้แร่หายากบางชนิดจะมีธาตุกัมมันตรังสีปนอยู่ แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานชัดเจนว่าเหมืองในเมียนมาเป็นแหล่งปลดปล่อยกัมมันตรังสีในระดับอันตราย
“ในประเทศไทยเองยังไม่พบว่ามีแหล่งยูเรเนียม หรือแร่กลุ่มนี้ที่มีความเข้มข้นสูงถึงขั้นเป็นอันตราย แร่หายากที่พบส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปลดปล่อยรังสีสูงมากนัก เว้นแต่จะผ่านกระบวนการสกัดแบบเฉพาะ ซึ่งต้องมีมาตรการควบคุมอยู่แล้ว”
ดังนั้น ประเด็นที่ควรจับตามากกว่ากลับกลายเป็นเรื่องการจัดการสารเคมีในกระบวนการเหมืองแร่ มากกว่าประเด็นด้านรังสีโดยตรง