“ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์” เผยผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก กระทบวัฒนธรรมและความมั่นคงอาหารของชุมชน เปิดใจทำเพลง “ลำ(น้ำ)พัง” หวังปลุกสำนึกช่วยแม่น้ำกก-สาย
วันนี้ (3 มิ.ย. 2568) ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายที่ให้ผลสรุปไม่ตรงกันระหว่างหน่วยงานรัฐกับองค์กรอิสระ ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ หรือ “ชิ สุวิชาน” อาจารย์ประจำสำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้สัมภาษณ์ The Active ว่าผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกกที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์กว่า 30 แห่งริมฝั่งไทย โดยเฉพาะการหายไปของพื้นที่วัฒนธรรมสำคัญที่เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ
ผศ.สุวิชาน ยกตัวอย่างชุมชนกะเหรี่ยงรวมมิตรที่ประกอบอาชีพท่องเที่ยวโดยใช้ช้าง ปัจจุบันช้างไม่กล้าลงน้ำ ทำให้กิจกรรมท่องเที่ยวหยุดชะงัก และต้องเปลี่ยนที่อาบน้ำเลี้ยงช้างไปยังแหล่งน้ำอื่นที่อาจต้องลำบากมากขึ้น

อีกประเด็นสำคัญคือการหายไปของ ”พื้นที่วัฒนธรรม“ ระดับครอบครัว ชุมชน และชนเผ่า โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ชุมชนริมน้ำไม่มีการเล่นน้ำหรือทำพิธีกรรมขอขมาแม่น้ำตามประเพณี
”ปกติแม่น้ำกกและแม่น้ำสายจะเป็นแม่น้ำวัฒนธรรม โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่เป็นช่วงแม่น้ำและคนได้ทำหน้าที่ พบปะสนทนากันระหว่างคนกับแม่น้ำ คนกับครอบครัว และระหว่างชุมชนด้วยกัน แต่ตอนนี้ถูกบล็อกด้วยสารพิษ“ อ.ชิ กล่าว
ผศ.สุวิชาน อธิบายว่าผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ชุมชนริมน้ำ แต่ขยายไปสู่ชุมชนที่อยู่ห่างออกไป 10-20 กิโลเมตร ซึ่งใช้ระบบชลประทานจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รวมถึงการบริโภคพืชผักที่ปลูกริมน้ำแล้วนำไปขายในตลาด
ในเรื่องการจัดการของรัฐบาล ผศ.สุวิชาน ชี้ให้เห็นความแตกต่างของผลการตรวจสอบระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยสถาบันวิชาการและองค์กรผู้เชี่ยวชาญตรวจพบค่าเกินมาตรฐาน ขณะที่หน่วยงานรัฐบาลรายงานว่าอยู่ในระดับปลอดภัย
ผศ.สุวิชาน มองว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่เพียงคำว่า “ปลอดภัย” แต่คือข้อมูลที่ “ถูกต้องและโปร่งใส” เพราะความเข้าใจที่คลุมเครืออาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดของชุมชน
“คำว่าปลอดภัย ไม่ได้แปลว่าไม่มีสารปนเปื้อน มันหมายถึงมี แต่ไม่เกินค่าที่กำหนด แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปอีกหกเดือน หนึ่งปี หรือห้าปีล่ะ? มันจะยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า?”

หยุดเหมืองต้นน้ำ เจรจาระหว่างประเทศ ฟื้นฟูลำน้ำอย่างมีส่วนร่วม
ผศ.สุวิชาน เสนอให้รัฐบาลเจรจากับแหล่งกำเนิดปัญหาอย่างจริงจัง เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่ามาจากกิจกรรมเหมืองแร่ และต้องดำเนินการตามมาตรฐานสากลที่ต้องมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนเริ่มโครงการ
ข้อมูลเชิงประจักษ์ในตอนนี้ชัดเจนว่า ต้นตอของสารพิษมาจากกิจกรรมทำเหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งขาดกระบวนการ EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) อย่างรัดกุม และไม่มีเขตกันชนจากแหล่งน้ำ
เขาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดง “จุดยืน” ที่ชัดเจนในฐานะประเทศเจ้าของลำน้ำร่วม ไม่ใช่ปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปโดยไม่มีความรับผิดชอบ
“ถ้าเราสามารถหยุดเหมืองได้ สิ่งที่ต้องทำทันทีคือการฟื้นฟูลำน้ำ และต้องทำร่วมกับชุมชนที่รู้ว่าลำน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างไร” ผศ.สุวิชาน กล่าว
แต่งเพลง “ลำ (น้ำ) พัง” สะท้อนวิกฤตน้ำกก-น้ำสาย
ผศ.สุวิชาน เปิดเผยกับ The Active ว่า กำลังสร้างสรรค์เพลง “ลำ (น้ำ) พัง” เพื่อสื่อสารปัญหานี้ โดยจะเผยแพร่เร็วๆ นี้ในช่วงวันสิ่งแวดล้อมโลก

คำว่า “ลำน้ำพัง” มีความหมาย 3 นัย คือ แม่น้ำกำลังพัง วิถีชีวิตกำลังพัง และการต่อสู้แบบ “ลำพัง” ของประชาชน หากรัฐไม่ให้ความสำคัญ
“ลำน้ำเหล่านี้เป็นลำน้ำวัฒนธรรม พอลำน้ำพัง วิถีชาติพันธุ์จะพังแน่ๆ วิถีคนเมืองก็จะสาหัส เราขอร้องอย่ามองข้าม ให้กลับมาดูและแก้ที่ต้นตอ“ ผศ.สุวิชาน กล่าว
เขาเล่าว่า แรงบันดาลใจมาจากเสียงของชุมชนที่เต็มไปด้วยความกลัว ความไม่แน่ใจ และความหวังที่เริ่มริบหรี่ เนื้อเพลงเขียนเสร็จในคืนเดียว ส่วนการผลิต MV อยู่ระหว่างดำเนินการ และเชิญชวนเครือข่ายภาคประชาชนมาร่วมขับเคลื่อนเสียงนี้ให้ดังก้องขึ้น
“ผมเชื่อว่าเสียงจากบทเพลงอาจเดินทางไปได้ไกลกว่าเอกสารวิชาการ เพราะมันแตะใจคนก่อน แล้วค่อยกระตุกความคิดให้ลุกขึ้นมาเรียกร้อง”ผศ.สุวิชาน กล่าว
ผศ.สุวิชาน คาดหวังว่าเสียงเหล่านี้จะไปถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจ และกระตุ้นให้ประชาชนลุกขึ้นมาส่งเสียงร่วมกัน เพื่อปกป้องแม่น้ำและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น