‘อากาศสะอาด’ บนทางแพร่ง ? เทียบเส้นทาง ‘พ.ร.บ.’ vs ‘พ.ร.ก.’

เครือข่ายอากาศสะอาดฯ วิเคราะห์เชิงกฎหมาย และการเมือง บนทางสองแพร่งหลัง ภาคประชาชน ร่วมเรียกร้องรัฐบาล เร่งสร้างกลไกสู่การมีอากาศสะอาด โดยตราเป็น พ.ร.ก. ชี้ ปัญหามลพิษเป็นเรื่องเร่งด่วน หวั่น สถานการณ์การเมืองทำ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด สะดุด

วันนี้ (6 ส.ค. 68) สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ เผยแพร่ บทความวิเคราะเชิงกฎหมายและการเมือง เพื่อสะท้อนถึงกระบวนการของกฎหมายอากาศสะอาด หลังภาคประชาสังคมกว่า 80 องค์กร ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐบาล เรียกร้องให้เร่งรัดการพิจารณาและผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ พ.ศ. …. (พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ) ที่มีผลบังคับใช้โดยเร็ว หรือ หากเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองขอให้พิจารณาออก พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) อากาศสะอาด เป็นมาตรการเร่งด่วน

ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …​ ทั้ง 7 ร่างพิจารณาแล้วเสร็จ จนเกิดเป็นร่างที่ 8 เพื่อให้ประชาชนแสดงความเห็นจนถึงวันที่ 8 ส.ค. 68 ก่อนนำกลับเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 โดย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ เผยว่า เตรียมจะเสนอเป็นวาระเร่งด่วนแก่สภาผู้แทนราษฎรในช่วงต้น ต.ค. นี้

จดหมายเปิดผนึก ร้องนายกฯ – รัฐบาล ออก ‘พ.ร.ก.อากาศสะอาด’

ร่างจดหมายเปิดผนึก ระบุว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิกฤตมลพิษอากาศฝุ่นควัน PM2.5 ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างรุนแรง และทำให้ทุกฝ่ายคาดหวังต่อ “ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด” ซึ่งกําลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาใกล้แล้วเสร็จของรัฐสภา เพื่อให้กลายเป็นกฎหมายหลักในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ถูกรวมจากร่าง 7 ฉบับ ผ่านการรับหลักการด้วยคะแนนเอกฉันท์ และได้รับการตรวจพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อีกทั้งยังมีคําพิพากษาหลายคดีของศาลปกครองที่ให้รัฐเร่งดำเนินการแก้ไขมลพิษฝุ่นควันโดยเร็ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลและความชอบธรรมที่ชัดเจนให้รัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายฉบับนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนและอุปสรรคต่าง ๆ กําลังก่อให้เกิดความกังวลต่อประชาชนว่า ร่างกฎหมายอาจตกไปหากมีเหตุให้ต้องยุบสภา หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล 

แม้ว่ารัฐบาลใหม่ จะสามารถหยิบกฎหมายที่ตกไป ขึ้นมาพิจารณาได้ภายใน 60 วัน แต่ในทางปฏิบัติกระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลมักล่าช้า ทําให้มีความเสี่ยงสูงที่ร่างกฎหมายสำคัญนี้จะสะดุด และไม่สามารถใช้แก้ไขปัญหาได้ทันต่อฤดูฝุ่นที่กําลังมาถึง โดยมีข้อเรียกร้อง ดังนี้

  1. เร่งรัดกระบวนการผลักดัน “พระราชบัญญัติอากาศสะอาด” ให้ประกาศใช้โดยเร็วที่สุด 

  2. ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่กระทบต่อการพิจารณากฎหมาย ขอให้พิจารณาออกพระราชกําหนดอากาศสะอาด เป็นมาตรการเร่งด่วน 

วิเคราะห์ กฎหมาย – การเมือง เส้นทางระหว่าง พ.ร.บ vs พ.ร.ก.

จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง ที่อาจะกระทบต่อร่างกฎหมายอากาศสะอาด จนเกิดเป็นข้อเสนอจากภาคประชาชนข้างต้น สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ ได้เผยแพร่ บทวิเคราะห์เชิงกฎหมายและการเมืองของทางสองแพร่งสู่ “กฎหมายอากาศสะอาด”: เปรียบเทียบระหว่างเส้นทาง “พระราชบัญญัติ” กับ “พระราชกำหนด” ที่อธิบายถึงประเด็น ขั้นตอนการพิจารณากฎหมายต้องเป็นไปด้วยความละเอียดรอบคอบ ที่กำลังถูกคุกคามจากความไม่แน่นอนของการเมือง และความเป็นไปได้ที่จะเกิดการ “ยุบสภา” ทำให้มีความกังวลจนนำมาสู่การเสนอให้ตรากฎหมายเป็น พ.ร.ก.ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันต่อสถานการณ์

ขณะที่ข้อเสนอนี้สร้างความกังวลต่อ กมธ. ในสัดส่วนภาคประชาชน ที่เกรงว่า หาก ครม.นำเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ฉบับ กมธ. ไปตราเป็น พ.ร.ก. อาจมีการตัดทอน หรือแก้ไขหลักการสำคัญที่ต่อสู้และผลักดันมาในชั้น กมธ. ออกไป และทำให้กฎหมายอ่อนแอ ขาดประสิทธิภาพ

รวมถึงการตีความทางกฎหมายที่จะเข้าเงื่อนไขการออก พ.ร.ก. ตาม มาตรา 172 ตามรัฐธรรมนูญ ที่ระบุเงื่อนไข ว่าต้องเป็นกรณี “ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลักเลี่ยงได้” เพื่อรักษาความสงบปลอดภัยของประเทศ เพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะ เพื่อรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ซึ่งการจะความว่าวิกฤต PM 2.5 เข้าเงื่อนไขการออก พ.ร.ก. หรือไม่ ต้องวิเคราะห์จากทั้งมุมมองผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน และยังมีการวิเคราะห์ชั่งน้ำหนักข้อดี-ข้อเสีย ในหลายมิติ ได้แก่ มิติระยะเวลาและประสิทธิภาพ มิติของเนื้อหาและการมีส่วนร่วมของประชาชน มิติความชอบธรรมในระบบประชาธิปไตยและเสถียรภาพทางการเมือง มิติความเสี่ยงทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจทำให้เกิดการยุบสภาฯ แต่ยังมีข้อยกเว้นตามมาตรา 147 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป คณะรัฐมนตรีสามารถร้องขอต่อสภาฯ ภายใน 60 วัน เพื่อหยิบกฎหมายขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่า “การยุบสภาไม่ใช่จุดจบ” แต่เป็นเพียงการหยุดพักกระบวนการไว้ชั่วคราว ซึ่งกฎหมายจะเดินหน้าต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่จับเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลชุดใหม่ 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active