ไทยเดินหน้าจัดการปัญหาพลาสติก ไม่รอ สนธิสัญญาพลาสติกโลก INC 5.2

เครือข่าย PPP Plastics ชี้ ประเทศไทยพร้อมทำตามกรอบการลดพลาสติก โดยต้องเตรียมความพร้อมล้ำหน้าสนธิสัญญา ผ่านความร่วมมือ 3 ภาคส่วนในการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับพลาสติก ยก “สิทธิประโยชน์ทางภาษี” เพื่อกระตุ้นกลไกตลาดและสร้างความยั่งยืนระยะยาว

เครือข่าย PPP Plastics จัดงานประชุมสัมมนาเพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียนในการจัดการขยะและขยะพลาสติกของประเทศไทย หลังการประชุมเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก INC 5.2 ได้จบลง โดยไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ตามที่คาดหวัง

มีการประกาศขยายความร่วมมือภาคีเพื่อจัดการพลาสติกตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมติดตามความคืบหน้าตาม Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากพันธมิตรกว่า 40 องค์กร ตัวแทนภาคีจากทุกภาคส่วนกว่า 100 องค์กรทั่วไทย ร่วมแสดงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศหมุนเวียนพลาสติก

สนธิสัญญาพลาสติกโลกยังคงติดขัด

วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และประธานเครือข่าย PPP Plastics เผยว่า ประเทศไทยมีความพร้อมและแสดงความเห็นด้วยกับสนธิสัญญาพลาสติกโลกมากกว่าหลายประเทศ เนื่องจากได้เริ่มดำเนินการผ่านโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมในการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืนมาแล้ว

ประธานเครือข่าย PPP Plastics เผยว่า การเจรจา INC-5.2 ตนได้มีส่วนเข้าร่วมด้วย ท้ายที่สุดก็ยังสรุปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม คิดว่าอนุสัญญาเรื่องพลาสติกคงดำเนินการต่อไป โดยในส่วนของไทยมีความพร้อมระดับหนึ่ง โดยมีแผน มี Roadmap ซึ่งต่อไปก็จะเข้าสู่แผนระดับที่ 3 ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการจัดการขยะพลาสติกระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) โดยที่ผ่านมา PPP Plastics ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จนเกิดโครงการกว่า 40 โครงการที่สนับสนุน Roadmap การจัดการขยะพลาสติกด้วยหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน

จักษ์วิดา ชูวงศ์ศิริกุล ตัวแทนจากภาคเอกชน ได้ติดตามการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกมานาน รวมถึงการเจรจาครั้งล่าสุด เล่าว่า สนธิสัญญาพลาสติกโลกเป็นกรอบกฎหมายที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (legally binding) ฉบับแรกของโลกที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษจากพลาสติก โดยมีประเทศเข้าร่วม 184 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม การเจรจา INC5.2 ครั้งล่าสุดยังคงติดขัดด้วยประเด็นสำคัญหลายประการ โดย จักษ์วิดา และ วิจารย์ เห็นประเด็นที่เป็นปัญหา 3 เรื่องหลัก

1. การควบคุมการผลิต มีความขัดแย้งเรื่องการหยุดการผลิตพลาสติก เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะต้องมีการจำกัดการผลิตมากแค่ไหน หรือด้วยวิธีการใด ทำให้เกิดความเห็นที่ขัดกันโดยเฉพาะประเทศที่มีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีหรืออุตสาหกรรมน้ำมันเป็นธุรกิจหลัก

2. ขอบเขตที่ขยายออกไป ร่างสนธิสัญญาพลาสติดโลกเคยเริ่มต้นจาก 13 มาตรา ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 32 มาตรา โดยเพิ่มประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ สิทธิของชนพื้นเมือง สิทธิมนุษยชน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งมาตรามาก ก็ยิ่งทำให้การบังคับใช้นั้นมีความยุ่งยากขึ้น

“ตอนแรกเป็นเรื่องของการดูแลในเรื่องของมลพิษพลาสติกที่เกิดขึ้นจากพลาสติก รวมถึงสิ่งแวดล้อมทางทะเล แต่ตอนนี้มันขยายขอบเขตไปเรื่อย ๆ เพราะว่าตอนนี้เป็นสนธิสัญญาพลาสติกเป็นสนธิสัญญาเดียวที่อยู่ในระหว่างกระบวนการเจรจาอยู่” จักษ์วิดา อธิบาย

จักษ์วิดา ชูวงศ์ศิริกุล ตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม

3. ผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ การที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงปารีสส่งผลให้มีท่าทีแข็งกร้าวในการเจรจา ด้วยความเป็นประเทศที่มีอำนาจสูง การที่เขาแสดงจุดยืนเรื่องการไม่ต้องการจำกัดการผลิตพลาสติก ก็ส่งผลต่อความคิดเห็นและการแสดงออกของประเทศเล็ก ๆ ด้วยเช่นกัน

ไทยเตรียมความพร้อมล้ำหน้าสนธิสัญญาอย่างไร

วิจารย์ ย้ำว่า ประเทศไทยไม่ได้รอให้มีสนธิสัญญานี้ เพราะได้เริ่มดำเนินการมาก่อนแล้ว อย่างโครงการ PPP Plastics ซึ่งเป็นความร่วมมือ 3 ภาคส่วนในการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับพลาสติก

“เราเป็นประเทศแรก ๆ ในอาเซียนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องพลาสติก และมีการพัฒนา Roadmap การจัดการขยะพลาสติก รวมถึงมีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน” วิจารย์ กล่าว

โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสมาชิกโครงการ และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกรมควบคุมมลพิษ ในการขับเคลื่อนนโยบายและแผนต่าง ๆ รวมถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในส่วนงานวิจัย นวัตกรรม และการให้ข้อมูล ซึ่งทั้งสองหน่วยงานก็ได้มาร่วมประชุมสัมมนา PPP Plastics เช่นกัน

“ผมได้เห็นความเข้มแข็งของภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม ในฐานะภาครัฐก็มีความสุขไปด้วย ทุกภาคส่วนมีความร่วมมือ พัฒนาให้เครือข่ายก้าวหน้ามากขึ้น มีสมาชิกส่วนซาเล้งด้วย ถือว่าครบเครื่อง”

ธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีแผนย่อย แผนปฏิบัติการจัดการขยะพลาสติก อยู่ในเฟสที่สองแล้ว กลางปีหน้าเราต้องเตรียมจัดทำร่างเฟสที่สาม คงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”

โดย PPP Plastics ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2561 ภายใต้ TBCSD และกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย คือ ลดขยะพลาสติกในทะเลไทยไม่ต่ำกว่า 50% ภายในปี 2570 โดยดำเนินงานอย่างครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การพัฒนานโยบาย กฎหมาย มาตรการต่าง ๆ เช่น Roadmap แผนจัดการขยะพลาสติก, โมเดล BCG, การแสดงความเห็นต่อ พ.ร.บ. EPR (การขยายความรับผิดชอบให้ผู้บริโภค), สนับสนุนนโยบายขับเคลื่อนของ กทม. อย่าง BKK Zero Waste รวมถึงการพัฒนาโมเดลต้นแบบในพื้นที่คลองเตย ปทุมวัน และจังหวัดระยอง

“เราจะต้องย้อนกลับไปดีไซน์ใหม่ กลับไปดูทั้งระบบพลาสติก มองว่าพลาสติกจะไปทางไหนต่อ จบยังไง จบที่ไหน ปริมาณเท่าไหร่”

ด้าน รศ.เติมศักดิ์ ศรีศรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ เผยถึงบทบาทของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระบุว่า พลาสติกเป็นวัสดุที่มูลค่าไม่ค่อยสูง แต่จะต้องมีการติดตาม เป็นสิ่งที่ท้าทาย

“กระทรวง อว. มุ่งมั่นใช้พลังของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการขับเคลื่อนการจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืนและสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน”

ความท้าทายสำหรับประเทศไทย

หากสนธิสัญญาพลาสติกโลกได้มีการตกลงกันจนสำเร็จและมีพันธะทางกฎหมาย จะส่งผลดีต่อประเทศไทยในหลายมิติ ในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน สนธิสัญญาพลาสติกโลกจะนำพาแหล่งทุนสีเขียวมาให้ประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับประเทศกำลังพัฒนา เพื่อช่วยจัดการขยะได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

ในด้านการค้าและการลงทุน บริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยก็จะมีโอกาสในการส่งออกสินค้าเพิ่มมากขึ้น หากธุรกิจเหล่านั้นเลือกใช้พลาสติกรีไซเคิลในการผลิต อย่างที่หลายบริษัทในแถบยุโรปใส่ใจประเด็นขยะพลาสติกอย่างจริงจัง หมายความว่าธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทยต้องการการสนับสนุนทางการเงิน ในระหว่างสนธิสัญญาพลาสติกโลกยังไม่สำเร็จ

ส่วนที่ยังเป็นช่องว่างอยู่ อาจเป็นเรื่องความสามารถของภาคเอกชน หรือ SME ที่ต้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุน เพราะการลงทุนเปลี่ยนผ่านสู่การรีไซเคิลพลาสติกในธุรกิจขนาดกลางหรือเล็กต้องการเงินทุนสนับสนุนที่เข้มแข็ง รวมถึงความรู้ความสามารถ ซึ่งจำเป็นที่ต้องการการสนับสนุนจากประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเงินทุนในการเปลี่ยนผ่านสู่การลดและเลิกปล่อยมลพิษพลาสติก เป็นหนึ่งในหลายประเด็นที่ประเทศไทยต้องแก้ไข แม้ว่าสนธิสัญญาจะเสร็จหรือไม่ก็ตาม

การศึกษา การวิจัย และการพัฒนาเทคโนโลยี จะช่วยให้การจัดการขยะพลาสติกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจร รวมถึงสนับสนุนการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ พุ่งเป้าสู่การทำเศรษฐกิจหมุนเวียนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อพัฒนาพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

วิจารย์ และ จักษ์วิดา ยังชี้ให้เห็นปัจจัยท้าทายในการจัดการปัญหาพลาสติกในประเทศไทยด้านอื่น ๆ เช่น

ระบบการจัดการขยะพื้นฐาน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหลัก เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยมีขยะ 27-28 ล้านตันต่อปี แต่สามารถจัดการอย่างถูกต้องได้ไม่ถึง 50% ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น

ราคาผลิตภัณฑ์รีไซเคิล เม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีราคาสูงกว่าพลาสติกจากวัตถุดิบใหม่ประมาณ 3 เท่า ทำให้ความต้องการในตลาดภายในประเทศยังจำกัด

ด้าน รศ.เติมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องย้อนกลับไปออกแบบ Material ใหม่ โดยกลับไปดูทั้งระบบว่าจะไปทางไหนต่อ จบอย่างไร ที่ไหน ปริมาณเท่าไหร่ พลาสติกเป็นวัสดุที่มูลค่าไม่ค่อยสูง แต่จะต้องมีการติดตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทาย

โดยประเด็นที่น่าสนใจ คือ การเตรียมความพร้อมสำหรับกฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) หรือ การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการขยะพลาสติก

ขณะที่ ธนัญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ต่างประเทศตื่นตัวเรื่อง EPR กรมควบคุมมลพิษ มีแขกจากต่างประเทศ จากภาคเอกชนที่เข้ามาพบทุกสัปดาห์ โดยทุกคนตื่นตัวเรื่อง EPR

การดำเนินงานลดพลาสติกตลอดวงจรชีวิตพลาสติก

อนาคตพลาสติก จะเป็นอย่างไร

จักษ์วิดา คาดการณ์ว่า การเจรจาสนธิสัญญาอาจต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปี ถึงจะได้เห็นผลลัพธ์ เนื่องจากตอนนี้มี 30 กว่ามาตราในร่างสนธิสัญญาที่ต้องเจรจารายละเอียด อีกทั้งแต่ละประเทศยังต้องเตรียมความพร้อมในการออกกฎหมายรองรับ ทำให้อาจจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการพยายามหยุดมลพิษพลาสติกได้

“สนธิสัญญาแต่ละข้อจะต้องคุยรายละเอียดอีกครั้ง ว่าจะมีการเปลี่ยนผ่านเมื่อไหร่ จะเป็นอย่างไร อย่างการประชุมเรื่องสภาพภูมิอากาศ UNFCCC COP ตอนนี้กำลังจะมีการเจรจาถึง 30 ครั้ง เพราะฉะนั้น มันใช้เวลาเป็นปี แล้วต้องให้แต่ละประเทศกลับมาเตรียมความพร้อมในเรื่องของกฎหมายรองรับต่อไปด้วย”

สำหรับประเทศไทย จักษ์วิดา เสนอแนะให้ภาครัฐพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับผู้ซื้อเม็ดพลาสติกรีไซเคิล เพื่อกระตุ้นกลไกตลาดและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

“ตอนนี้ในส่วนของ EPR ภาคเอกชนก็เลยพยายามเสนอว่า ถ้าอย่างงั้นเราลดภาษีให้กับคนที่ซื้อเม็ดรีไซเคิลจากเราไปมั้ย สัก 2-3 ปี เพื่อให้กลไกนี้มันเกิดขึ้นก่อน เพื่อให้ตัวพลาสติกรีไซเคิลนี้มันไปได้”

จักษ์วิดา ชูวงศ์ศิริกุล

“แม้การเจรจาจะยืดเยื้อ แต่ประเทศไทยพร้อมแล้วด้วยระบบ PPP Plastics ที่เราสร้างขึ้น และเมื่อสนธิสัญญาสำเร็จ จะยิ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมของเรา”

วิจารย์ สิมาฉายา

แม้สนธิสัญญาพลาสติกโลกจะยังไม่สำเร็จ แต่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสร้างระบบจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืนแล้ว โดยการสร้างความร่วมมือ PPP Plastics แบบสมัครใจระหว่าง 3 ภาคส่วน จึงเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การมีผลบังคับทางกฎหมายก็จะช่วยเสริมให้นโยบายลดการผลิตและบริโภคพลาสติกเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นได้จริง ๆ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active