‘ฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด’ หวั่น ซ้ำรอยเดิม เหมืองเดินเครื่องกลางชุมชนโดยไร้มาตรการควบคุม ชี้ปี 59 รัฐเอื้อเอกชน ละเลย EIA เสียงระเบิดยังดังต่อเนื่องทุกวัน เรียกร้องตรวจสอบความรับผิดเจ้าหน้าที่ ทบทวนสิทธิการใช้วัตถุระเบิด เตรียมบุก ‘บางจาก’ ขอให้ถอนการลงทุน – ถือหุ้น บริษัททำเหมือง
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 68 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ยื่นหนังสือต่อ อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้มีคำสั่งให้ กระทรวงมหาดไทยยุติกระบวนการยื่นขออนุญาตใช้วัตถุระเบิดประจำปี 2568 ของ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่โปแตชในพื้นที่ ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
พร้อมกันนี้กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ยังเรียกร้องให้รัฐบาล ดำเนินคดีและเอาผิดต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุญาตใช้วัตถุระเบิดในปี 2559 ซึ่งกลุ่มเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ขัดต่อรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมี ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรับหนังสือ

พนมวรรณ นามตาแสง ผู้หญิงนักป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ระบุว่า บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ได้ยื่นขออนุญาต “ซื้อ มี ใช้ และเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิด” ตั้งแต่ปี 2558 และได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยเมื่อปี 2559 ทั้งที่รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ระบุชัดเจนว่า “จะไม่มีการใช้วัตถุระเบิดในกระบวนการทำเหมือง”
ขณะที่ จงดี มินขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ยังเรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทยเร่งตรวจสอบการใช้วัตถุระเบิดของโครงการเหมืองโปแตชในพื้นที่ทันที หลังยังคงได้ยินเสียงระเบิดต่อเนื่องทุกวัน แม้ภาครัฐจะตั้งคณะทำงานตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วก็ตาม
“ในขณะที่เรากำลังตั้งคณะทำงานตรวจสอบ เขากลับยังดำเนินการระเบิดอยู่ทุกวัน ทั้งที่เป็นการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม เราเคยทำหนังสือถึงนายอำเภอไปแล้ว แต่สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง”
จงดี มินขุนทด
จงดี ยังระบุว่า ชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบพื้นที่เหมืองได้ ทั้งที่คณะทำงานซึ่งมีนักวิชาการร่วมอยู่ด้วยควรได้รับอนุญาต เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงและยับยั้งกระบวนการขออนุญาตใช้วัตถุระเบิดจนกว่าจะมีผลการตรวจสอบที่ชัดเจนสิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้เห็น เหมืองยังคงทำงานทุกวัน จึงเรียกร้องให้มีคำสั่งยุติการระเบิดและให้หน่วยงานรัฐลงพื้นที่ตรวจสอบโดยเร่งด่วน
จงดี ระบุว่า ความท้าทายของการต่อสู้ประเด็นนี้คือเรื่องของการปัญหาไม่ถูกแก้ และเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลกลุ่มฅนรักบ้านเกิด ก็ต้องเริ่มหนึ่งใหม่และต้องพูดประโยคเดิมกับนายกและรัฐมนตรีคนใหม่เสมอเนื่องจากไม่มีความต่อเนื่องของรัฐบาล

“จากการยื่นหนังสือที่ผ่านมา เป็นเหมือนการโยนเผือกร้อนออกจากมือ เนื่องจากว่าปัญหาของชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ไข เหมืองก็ดำเนินการต่อไป สิ่งที่กังวลใจมากที่สุดคือการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ถือครองวัตถุระเบิด เนื่องจาก ณ ตอนนี้ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว กล้าพูดได้เลยว่าการกระทำของเขาเป็นอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่กับชีวิตของผู้คน แต่รวมถึงสัตว์ พืช ผัก หรือแม้กระทั่งแหล่งน้ำ เราถึงต้องการมาติดตามเพื่อให้กระทรวงมหาดไทยทบทวนถึงข้อจำเป็น และข้อกังวล บางครั้งกระทรวงมหาดไทยอาจจะไม่ได้รับข้อมูลจากทางจังหวัด เราจึงเดินทางเอาข้อมูลมายื่นให้ท่านแล้ววันนี้”
จงดี มินขุนทด
ในหนังสือร้องเรียน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ยังระบุว่า นายทะเบียนท้องที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับอำเภอและจังหวัด ละเลยต่อหน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขออนุญาต ทั้งที่มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้อย่างชัดเจน ส่งผลให้มีการออกใบอนุญาตให้บริษัทดังกล่าวสามารถนำ วัตถุระเบิดจำนวนกว่า 7,800 นัดเข้าสู่พื้นที่ชุมชน โดยไม่มีมาตรการควบคุมหรือป้องกันใด ๆ ถือเป็นความประมาทเลินเล่อร้ายแรง และอาจเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตต่อการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองการขออนุญาตสั่ง นำเข้า ซื้อ มี ใช้ และขนย้ายวัตถุระเบิด จังหวัดนครราชสีมา ในปี 2568 ว่าเป็นการ เร่งรัดกระบวนการเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทไทยคาลิ โดยไม่มีการพิจารณาความผิดพลาดจากปี 2559 ทั้งที่มีหลักฐานร้องเรียนและเอกสารทางราชการชัดเจน
นอกจากนี้ ยังชี้ว่า บริษัทไทยคาลิไม่ได้เป็นผู้ใช้วัตถุระเบิดด้วยตนเอง แต่ในเว็บไซต์ของบริษัทมีการระบุว่า บริษัท China Coal No.3 Mine Construction (Group) Corporation Limited (CCMC) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีน จะเป็นผู้ดำเนินการขุดอุโมงค์ทั้งหมด ดังนั้น CCMC ควรต้องเป็นผู้ยื่นขออนุญาตใช้วัตถุระเบิดด้วยเช่นกัน
พร้อมย้ำว่า ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือหลายครั้งต่อกระทรวงมหาดไทย แต่ยังไม่ได้รับความคืบหน้าใด ๆ หากหน่วยงานรัฐยังคงนิ่งเฉย ย่อมถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนในพื้นที่ด่านขุนทดซึ่งอยู่ในรัศมีผลกระทบจากเหมืองโปแตชโดยตรง
“เราขอย้ำข้อเรียกร้องที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการโดยด่วนคือ ให้ออกคำสั่ง ยุติกระบวนการยื่นขออนุญาตใช้วัตถุระเบิดปี 2568 ของบริษัทไทยคาลิ จำกัด จนกว่าการตรวจสอบกรณีปี 2559 จะแล้วเสร็จ พร้อมทั้งตรวจสอบและเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ละเลยต่อหน้าที่ในการอนุญาตและควบคุมการใช้วัตถุระเบิดในปี 2559 รวมถึงตรวจสอบกรณีการฟอกเงินและการถือหุ้นแทน (นอมินี) ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการเหมืองโปแตชทั้งหมด”
จงดี มินขุนทด
ขณะที่ ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนจาก Protection International (PI) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับความไม่คืบหน้าของการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทย ทั้งๆที่ความเสียหายเกิดขึ้นกับชีวิตและสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกวันและการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ข้าราชการควรจะทำ
“ข้อเรียกร้องครั้งนี้ชัดเจนคือคำสั่งให้ยุติการอนุญาตให้ใช้วัตถุระเบิดซึ่งนี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่ากระทรวงมหาดไทยจะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไปอีกนานเท่าไหร่ถ้าไม่เริ่มดำเนินการโดยทันที ซึ่งจะขัดดีบพันธกรณีกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเรื่องพันธกรณีในการเคารพคุ้มครองและกีปฏิบัติทำให้เกิดผลการไม่ปฏิบัติล่าช้าเกินควรถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ความล่าช้าแบบนี้เป็นการไม้ปฏิบัติตามพันธกรณีกติกากฎหมายสิทธิมนถษยชนระหว่างประเทศ”
ปรานม สมวงศ์

ด้าน ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรับหนังสือของกลุ่มว่า ตนจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน พร้อมสอบถามไปยังจังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้ทราบก่อนดำเนินการในขั้นต่อไป
“รัฐบาลนี้จะยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกคน จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่เลือกปฏิบัติ และจะไม่ยืนอยู่ข้างนายทุน แต่จะยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย”
ภราดร ปริศนานันทกุล
ทั้งนี้ทางกลุ่มฯ ยังได้เดินทางไปยื่นหนังสือให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยที่กระทรวงมหาดไทยในข้อเรียกร้องเหมือนกันนี้ด้วย พร้อมทั้งระบุในหนังสือด้วยว่า ขอให้กระทรวงมหาดไทยเร่งตรวจสอบและตอบเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือ เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อประชาชนในพื้นที
สำหรับการเคลื่อนไหววันนี้ (10 ต.ค. 68) นักปกป้องสิทธิ ฯ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จะเดินทางไปยัง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อย้ำข้อเรียกร้องให้ถอนการลงทุนและการถือหุ้นออกจาก บริษัท ไทยคาลิ จำกัด อย่างชัดเจน รวมถึงจะมีการแสดงละครเพื่อเปิดโปงเส้นทางการลงทุนของทุนต่างชาติในบริษัท บางจาก
จากนั้นเวลา 14.00 น. จะเดินทางไป ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบการถือหุ้นของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ด้วย