ปิดจ๊อบ! ‘ร่าง พ.ร.บ. PRTR’ เดินหน้า สิทธิที่จะรู้เท่าทัน ใครปล่อยมลพิษ  

กมธ. PRTR พิจารณาเสร็จครบทุกมาตรา เตรียมเสนอประธานสภาฯ ลุยพิจารณากฎหมายเปิดเผยข้อมูลมลพิษ ฉบับแรกของไทยต่อ ภาคประชาชน ชี้ ถึงเวลาที่ทุกคนต้องได้สิทธิรู้เท่าทันมลพิษ ปกป้อง ดิน น้ำ อากาศ และคุณภาพชีวิตประชาชน

วันนี้ (29 ต.ค. 68) ที่อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ. …. หรือ ร่าง พ.ร.บ. PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) แถลงข่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณารายมาตราครบทุกมาตรา พร้อมทั้งหลักการและเหตุผลเสร็จสิ้นแล้ว เตรียมยื่นประธานสภาฯ เพื่อเตรียมประชุมพิจารณาในวาระ 2 และ 3 

กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล สส. พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ

กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล สส. พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ บอกว่า กรรมาธิการฯ ได้พิจารณารายมาตรา พร้อมทั้งหลักการและเหตุผลเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 40 มาตรา ซึ่ง พ.ร.บ. นี้ มีสาระสำคัญเป็นการจัดให้มีฐานข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษและสารเคมี และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชน สอดคล้องกับอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน หลักการของปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา และแผนปฏิบัติการ 21 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายที่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล และได้มีการแยกย่อยเป็น 8 หมวด ได้แก่

หมวด 1 กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ จำนวน 15 คน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานกรรมการ มีกรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 5 คน ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลสารมลพิษและสารเคมีซึ่งมีแหล่งกำเนิดแน่นอน และผู้รับผิดชอบการประเมินสารมลพิษซึ่งมีแหล่งกำเนิดไม่แน่นอน มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 คน และกรรมการผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคมที่มาจากการเลือกกันเองจำนวน 4 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน และมีอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการนี้มีหน้าที่และอำนาจที่สำคัญในการพิจารณาให้ความเห็นชอบประกาศหลักเกณฑ์ ตลอดจนกำหนดมาตรการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีฐานข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ

หมวด 2 กำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการออกประกาศกำหนด ไม่ว่าจะเป็นบัญชีรายชื่อสารมลพิษและสารเคมี ประเภทและขนาดของแหล่งกำเนิดมลพิษ หรือกำหนดบริเวณพื้นที่ซึ่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับตามความพร้อมและความเหมาะสมของพื้นที่ โดยกำหนดให้ทบทวนประกาศทุกรอบระยะเวลาห้าปี หรือกรณีที่มีความจำเป็นจะดำเนินการให้เร็วกว่านั้นก็ได้ ซึ่งสารมลพิษที่มีแหล่งกำเนิดแน่นอนเป็นหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลที่ต้องรายงานชนิดและปริมาณการผลิต การมีไว้ในครอบครอง การปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม และการเคลื่อนย้ายสารมลพิษและสารเคมีไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแลเพื่อรวบรวมตรวจสอบก่อนรายงานต่อกรมควบคุมมลพิษอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และมีบทกำหนดโทษกรณีผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลไม่จัดส่งรายงาน หรือจัดส่งรายงานที่มีข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน

หมวด 3 การประเมินปริมาณสารมลพิษซึ่งไม่มีแหล่งกำเนิดแน่นอน กฎหมายนี้กำหนดให้สารมลพิษซึ่งไม่มีแหล่งกำเนิดแน่นอนเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบการประเมิน อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง พร้อมทั้งมีบทกำหนดโทษกรณีผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลไม่จัดส่งรายงาน หรือจัดส่งรายงานที่มีข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนด้วย ส่วนกิจกรรมใดที่ไม่มีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ให้เป็นหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ บทบัญญัติในหมวดนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดห้าปีนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมวด 4 การจัดทำฐานข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ กฎหมายนี้กำหนดหน้าที่และอำนาจของกรมควบคุมมลพิษในการดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวสู่สาธารณชน ตลอดจนทำภารกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การส่งเสริมขีดความสามารถของผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนส่งเสริมประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ

หมวด 5 การเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณชน กฎหมายนี้กำหนดให้กรมควบคุมมลพิษมีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษซึ่งเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาโดยเร็ว แต่ต้องไม่เกินสองปี รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลย้อนหลังของทุกปีที่มีการรายงาน โดยให้เผยแพร่อย่างน้อยผ่านทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศหรือช่องทางอื่น ๆ ที่ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก

หมวด 6 หน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎหมายนี้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องประเมินชนิดและปริมาณสารมลพิษและสารเคมีจากแหล่งกำเนิดมลพิษที่เป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตน

หมวด 7 พนักงานเจ้าหน้าที่ กฎหมายนี้ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่เรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำหรือแจ้งข้อเท็จจริง หรือจัดทำ คำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือให้ส่งเอกสาร ข้อมูล หรือหลักฐานที่จำเป็น เพื่อตรวจสอบหรือเพื่อประกอบการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่

หมวด 8 บทกำหนดโทษ กฎหมายนี้กำหนดบทกำหนดโทษเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 เป็นการกำหนดมาตรการปรับเป็นพินัยแทนโทษทางปกครอง ในกรณีไม่รายงานข้อมูล หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานที่กำกับดูแล หรือไม่มาให้ถ้อยคำหรือแจ้งข้อเท็จจริง หรือไม่ส่งคำชี้แจง เอกสาร ข้อมูลหรือหลักฐานใด ๆ ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือเรียก 

และ ส่วนที่ 2 เป็นการกำหนดโทษอาญา กรณีให้ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ

“การเดินทางตรงนี้เป็นเพียงระยะเริ่มต้น เรายังต้องเดินทางต่อไปและช่วยกันผลักดันให้กฏหมาย PRTR เกิดขึ้นในบ้านของเราได้มีการบังคับใช้จริง”

กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง รองประธานกรรมาธิการฯ คนที่ 1

ขณะที่ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง รองประธานคนที่ 1 กล่าวในนามของภาคประชาชน (มูลนิธิบูรณะนิเวศ, กรีนพีซ ประเทศไทย และมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม) ที่ร่วมกันขับเคลื่อนร่างกฏหมายฉบับนี้ ซึ่งได้ยื่นรายชื่อประชาชน 11,685 รายชื่อว่า การเสนอร่างกฏหมายฉบับนี้มีเหตุผลที่สำคัญ เพราะว่าประเทศไทยประสบปัญหามลพิษอุตสาหกรรมรุนแรงมาไม่น้อยกว่า 4 ทศวรรษ และไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ ความเดือดร้อนเหล่านี้ได้สร้างทุกข์ให้ประชาชนในภาคชนบทเยอะมาก และได้รุกรานเข้าไปทำความเสียหายให้พื้นที่เกษตรที่ผลิตอาหาร และแหล่งน้ำที่สำคัญ

“ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากมลพิษอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศที่รุนแรง และไม่มีการประเมินค่าความเสียหายออกมา รวมไปถึงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ซึ่งแต่ละปีรัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณในการดูแลผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหน ในปัจจุบันยังไม่เคยมีการประเมินผลกระทบอย่างจริงจังเช่นกัน” 

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง 

เพ็ญโฉม ยังเปรียบเทียบกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ที่มีกฏหมายเกี่ยวข้องกับการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม มาแล้วอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20 ปี ทำให้ประเทศที่กล่าวมาข้างต้นสามารถจัดการกับปัญหามลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลทั้งหมดถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีกฎหมาย PRTR เพื่อปกป้องคุณภาพดิน น้ำ อากาศ และคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศนี้

โดยกรรมาธิการฯ เห็นว่าหากกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย จะเป็นการรับรองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมในการคุ้มครอง ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งช่วยให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลสารมลพิษและสารเคมีที่ครอบคลุมและเป็นระบบอันจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพและความเข้มแข็งแก่หน่วยงานของรัฐในการประเมินสถานการณ์ปัญหามลพิษได้อย่างถูกต้อง มีข้อมูลที่ดีเพื่อประกอบการวางแผนการป้องกันสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และสามารถจัดการปัญหาตั้งแต่ต้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ภาคเอกชนสามารถตรวจสอบระบบและกระบวนการผลิตของตนให้รัดกุม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินกิจการและการแข่งขันทางการค้าในระยะยาวต่อไป

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active