กรรมาธิการฯ – ภาคประชาชน เห็นพ้อง เอกชน ให้ความสำคัญเศรษฐกิจ มากกว่า สุขภาพ แนะ ทำการบ้าน ศึกษาร่างกฎหมายให้ดี ก่อนออกมาแถลง หวั่นสร้างความเข้าใจผิด
จากกรณีที่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมาย 3 ฉบับ หนึ่งในนั้นคือ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ) ทำให้มีหลายฝ่ายทั้ง ภาคประชาสังคม นักการเมือง ออกมาแสดงความเห็นว่า การโต้แย้งที่เกิดขึ้น มาจากการไม่เข้าใจถึงหลักการที่แท้จริงของกฎหมาย
- อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง : กกร. ย้ำไม่ค้าน ‘กม.อากาศสะอาด’ ชี้ ปรับให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อนกฎหมายเดิม

Thailand Can เครือข่ายอากาศสะอาด โพสต์ความเห็นระบุว่า การแถลงดังกล่าว สะท้อนว่า กกร.ไม่เข้าใจ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด โดยสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้
- กกร. ยังไม่เข้าใจแม้แต่ชื่อกฎหมาย เนื้อหาที่ออกมาแถลง สะท้อนชัดว่า ยังไม่เข้าใจทั้ง หลักการ เจตนารมณ์ หรือแม้แต่ชื่อเต็ม ของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ฉบับผ่าน กมธ. สภาผู้แทนราษฎร ที่เข้าสู่วาระ 2 และ 3 มาแล้วด้วย หรือ พูดง่าย ๆ คือยังไม่ได้อ่านฉบับจริง แต่รีบปฏิเสธ
- แถลงข่าวใหญ่โต แต่ไม่ทำการบ้าน คำพูดในแถลงข่าวเต็มไปด้วย ข้อมูลสุ่ม ๆ ที่ฟังดูเหมือนพูดเพื่อให้กลัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นทุนเพิ่ม โทษแรง หรือ ซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม ทั้งที่ประเด็นเหล่านี้ถูกอธิบายในสาธารณะ และใน กมธ. แล้ว แต่ กกร. กลับเลือกจะไม่ฟัง แล้วพูดซ้ำให้คนเข้าใจผิด “นี่ไม่ใช่ความเห็นต่าง แต่นี่คือ ความไม่รับผิดชอบต่อสังคมในฐานะองค์กรระดับชาติ”
- คำพูดของ กกร. ขัดกับ “พวกเดียวกัน” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในที่ประชุม กมธ. สว. สายทุนตัวแทนฝ่ายทุนก็พูดอีกอย่าง แต่สาระเดียวกัน คือ “เศรษฐกิจต้องมาก่อนสุขภาพ” พูดกันคนละเวที แต่มีจุดยืนเดียวกัน คือ ปกป้องสิทธิในการปล่อยมลพิษโดยไม่ต้องรับผิดชอบ
- ยิ่งพูด ยิ่งเปิดโปง ประชาชนสังเกตได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าใครกันแน่ที่กลัวการเปลี่ยนแปลง ใครกันแน่ที่ใช้ “คนตัวเล็ก – SMEs – เกษตรกร” เป็นโล่กำบัง และใครกันแน่ที่ยังมองชีวิตคนเป็นแค่ “ต้นทุน”
- อากาศสะอาดไม่ใช่ศัตรูของเศรษฐกิจ ประเทศที่ลงทุนกับอากาศสะอาดคือประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแรงที่สุดในโลก เพราะ “เศรษฐกิจยั่งยืน ต้องเริ่มจากอากาศที่คนหายใจได้”
ขณะที่ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ให้ความเห็นเรื่องนี้เช่นกันว่า “หลังจากฟังเหตุผลกลุ่มทุนค้านกฎหมายอากาศสะอาดแล้วสรุปว่า เห็นแก่ได้ ไม่อยากจ่าย ไม่อยากทำอะไรเพิ่ม อยากไปนั่งคุมกฎหมาย” โดยระบุว่า เมื่อกลุ่มทุนค้านอากาศสะอาด กกร. ออกมาเสนอให้ทบทวนร่างกฎหมาย ซึ่งประชาชนทนทุกข์มากว่าสิบปี จึงต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนการมีส่วนร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเลย หากแต่สะท้อน ความกลัวเสียผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่ ที่เป็นต้นทางของมลพิษเสียมากกว่า
- “อยากมีส่วนร่วม” หรือ “อยากครอบงำ”
ข้อเสนอให้เพิ่มผู้แทนจากสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธนาคารไทย เข้าไปเป็นกรรมการกำหนดนโยบายอากาศสะอาด ทั้งระดับชาติและจังหวัด ฟังดูเหมือนการมีส่วนร่วม แต่ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึงเปิดทางให้กลุ่มทุนได้เข้าไปนั่งอยู่บนโต๊ะกำหนดกติกาที่ตนเองจะถูกควบคุมไม่ต่างอะไรจากให้ผู้ก่อมลพิษมานั่งเขียนกฎหมายควบคุมมลพิษเอง ผลประโยชน์ทับซ้อนเห็น - “ไม่อยากจ่าย” ภายใต้ข้ออ้างเรื่องต้นทุน
กกร. บอกว่าการเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด “ซ้ำซ้อนกับภาษีเดิม” และ “กระทบต้นทุนภาคธุรกิจ” แต่สิ่งที่ไม่พูดเลยคือ ต้นทุนสุขภาพของประชาชน ที่ต้องจ่ายอยู่ทุกวัน โรงพยาบาลแน่นไปด้วยผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เด็กและผู้สูงอายุได้รับผลกระทบโดยตรงจาก PM2.5 และเขม่าจากการเผา ต้นทุนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในงบดุลของบริษัทใหญ่ แต่ประชาชนทั้งประเทศต้องร่วมกันจ่ายผ่านภาษีและชีวิตของตนเอง การอ้างว่า “ยังไม่พร้อมจ่าย” จึงเป็นเพียงข้อแก้ตัวของคนที่ ทำกำไรบนอากาศสกปรก มานานเกินไปแล้ว - “ไม่อยากทำอะไรเพิ่ม” นอกจากพูดเรื่องแรงจูงใจ
ภาคเอกชนพูดถึง “แรงจูงใจทางภาษี” และ “มาตรการสนับสนุน” ฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง กฎหมายและแรงจูงใจมีอยู่แล้วมากมาย ทั้งการลดหย่อนภาษีโรงงานสีเขียว เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การได้ผลประโยชน์นโยบายมหาศาล เช่น อยู่ ๆ ก็ได้ข้าวโพดนำเข้าราคาถูก กำไรเพิ่มขึ้นทันทีปีละหมื่นล้าน นี่จะเอาภาษีและทรัพยากรไปสนับสนุนพวกคุณอีกหรือ - “ไม่เห็นด้วยกับโทษแรง” เพราะ “กลัวโดนเอง”
การออกมาอ้างว่าบทลงโทษ “สูงเกินไป” และ “ไม่สอดคล้องรัฐธรรมนูญ” สะท้อนชัดว่า เขากลัวกฎหมายนี้มีเขี้ยวเล็บจริง ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีแต่กฎหมาย “เสือกระดาษ” ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่จึงลอยนวลการอ้างเรื่อง “การกระทำโดยประมาท” เพื่อให้ลดโทษก็เป็นข้ออ้างคลาสสิก ทั้งที่ผลกระทบต่อสังคมไม่ได้เบากว่าเจตนาเลย ถ้าคุณทำโรงงานหรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพคนอื่น คุณต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ขอข้อยกเว้น
“เมื่อรวมข้อเสนอทั้งหมดเข้าด้วยกัน เราจะเห็นภาพเดียวชัดเจน กลุ่มทุน ไม่อยากจ่าย ไม่อยากเปลี่ยน ไม่อยากถูกลงโทษแต่กลับ อยากมีอำนาจร่วมตัดสินทุกเรื่องในกฎหมาย เพื่อคุมทิศทางและผลประโยชน์ของตัวเองนี่ไม่ใช่ ความร่วมมือ แต่คือ การช่วงชิงพื้นที่นโยบาย (policy capture) ของกลุ่มทุนในนามของการมีส่วนร่วม กฎหมายอากาศสะอาดไม่ใช่ของนักธุรกิจ มันเป็นสิทธิของคนทุกคน และไม่มีใครควรมีอภิสิทธิ์ที่จะทำให้คนอื่นป่วยเพราะผลกำไรของตนเอง”

สอดคล้องกับ ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร สส.พรรคประชาชน จ.เชียงใหม่ และ กมธ.อากาศสะอาดฯ ก็โพสต์ตั้งคำถามว่า ทำไม ? อากาศสะอาด ถึงยากขนาดนี้ แท้จริงแล้วนายทุนกำลังกังวลอะไรกันแน่ ?
ภัทรพงษ์ ระบุ เพิ่งได้อ่านแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน พบว่า ก่อนหน้านี้มีข้อกังวลเรื่องหนึ่ง แต่มาครั้งนี้กลับกังวลอีกเรื่อง และประเด็นที่กังวลนั้น หากอ่านร่างกฎหมายดี ๆ มั่นใจว่า กกร.จะไม่ออกแถลงการณ์
ประเด็นที่ 1 บอกว่า ไม่มีสัดส่วนภาคเอกชน ในคณะกรรมการอากาศสะอาดระดับชาติและจังหวัด ซึ่งเรื่องนี้ ไม่จริง เพราะในร่างกฎหมาย ระบุไว้ชัดเจนว่าให้มี กรรมการจากภาคเอกชน อยู่ในทั้งคณะกรรมการระดับชาติและระดับจังหวัดอยู่แล้ว เพียงแต่ในร่างกฎหมายใช้คำว่า “ธุรกิจเอกชน” ไม่ได้ระบุว่าเป็น สภาหอการค้า หรือ สภาอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นข้อกังวลนี้ ทาง กกร.ต้องถามตนเองดี ๆ ว่า นี่คือความกังวลว่าจะไม่มีภาคเอกชนในคณะกรรมการ หรือ เพียงไม่พอใจ ที่ไม่มีการระบุชื่อกลุ่มของตนเองให้ชัดเจนกันแน่
ประเด็นที่ 2 บอกว่าหลักการ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ในหมวดมาตรการทางเศรษฐศาสตร์โดยการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาด จะเป็นการเพิ่มต้นทุนทุกภาคส่วน ผู้ประกอบการต้องจ่ายซ้ำซ้อน ควรมุ่งเน้นให้เกิดมาตรการสนับสนุนและแรงจูงใจในภาษีมากกว่าการเก็บค่าธรรมเนียม ประเด็นนี้ หาก กกร. อ่านกฎหมายละเอียดจะไม่มีความกังวล ในร่างกฎหมายอากาศสะอาด ที่ระบุให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมกับกิจการหรือสินค้าที่มีแนวโน้มสูงในการก่อมลพิษทางอากาศ ตามที่รัฐมนตรีกำหนด ในส่วนนี้ในร่างกฎหมายก็ระบุถึง มาตรการสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างชัดเจน ทั้งการให้เงินอุดหนุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยเหลือเทคโนโลยีต่าง ๆ กับผู้ประกอบการ รวมถึงการลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมให้กับผู้ประกอบการที่จัดการบำบัดมลพิษได้อย่างดีด้วยเช่นกัน
“เอาง่าย ๆ ครับ ถ้าไม่อยากจ่ายค่าธรรมเนียม ไม่อยากให้เป็นภาระต้นทุน ก็แค่ทำระบบจัดการมลพิษทางอากาศให้ดี แค่นั้นเอง”
ประเด็นที่ 3 บอกว่า กองทุนอากาศสะอาด ไม่มีการลำดับความสำคัญวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และ ไม่ได้ผ่านขั้นตอนพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามที่ควรจะเป็น อันนี้ยิ่งประหลาด โดยเห็นว่า
- การบริหารจัดการกองทุนนั้น เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในกฎหมายเลย กกร. ต้องไปศึกษาใหม่ ว่าอะไรคือปัญหาในเชิงเนื้อหาของกฎหมาย และอะไรคือปัญหาของการบังคับใช้ ตรงนี้จะทำให้ กกร.กระจ่าง
- กองทุนไม่ได้ผ่านการพิจารณา ขอให้ทาง กกร. กลับไปดูรัฐธรรมนูญดี ๆ ว่าการที่จะยื่นกฎหมายที่มีกองทุน กฎหมายการเงินแบบนี้ต้องผ่านความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีก่อน ร่างของภาคประชาชนที่ยื่นเข้าสภานั้น มีกองทุนอากาศสะอาดนี้ และก็ผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ที่ขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจเด็ดขาดตาม พ.ร.บ.บริหารทุนหมุนเวียนด้วย เพราะฉะนั้น คำกล่าวอ้างนี้ ยิ่งไม่มีน้ำหนัก
“สุดท้ายนี้ ผมอยากขอความชัดเจนในเรื่องข้อกังวลที่แท้จริงของทาง กกร. จะได้ชี้แจงทำความเข้าใจให้หมดในคราวเดียว เพราะ พ.ร.บ.ฉบับนี้สำคัญกับทุกชีวิตทุกลมหายใจของคนไทย”
ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร
