ภาคธุรกิจ ชี้ เทรนด์โลกเปลี่ยน-ไทยยังไม่ปรับ อนาคต อาจต้องนำเข้าถังขยะอัจฉริยะ เพราะไม่ให้ความสำคัญกับการ “สร้างนวัตกรรมสิ่งแวดล้อม”
หากพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมตามหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย คนที่สร้างขยะอย่างเราทุกคน เป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบร่วม แต่อาจไม่ใช้ทุกคนที่เต็มใจ “แยกขยะ”
นับกันตั้งแต่ปี 2544 ปริมาณขยะมูลฝอยของ กทม. เพียงอย่างเดียวเติบโตอย่างต่อเนื่อง 8-9 พันตัน แต่ไม่มีท่าทีว่าจะลดลง ตราบใดที่ยังไม่แยกขยะ ปลายทางอย่าง “โรงงานกำจัดขยะ” ก็ยังต้องแบกรับภาระจัดการขยะ สะท้อนผ่าน งบฯ จัดการขยะที่สูงถึง 7,000 ล้านบาทต่อปี
กทม. พยายามใช้มาตรการมาจัดการกับปัญหาขยะล้นผ่าน โครงการไม่เทรวม โดยเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจากคนไม่แยกขยะ จาก 20 บาท/เดือน เป็น 60 บาท/เดือน ผลลัพธ์คือในปี 2566 กทม. โครงการนี้ทำให้ กทม. ประหยัดงบฯ จัดการขยะไปได้มากกว่า 141 ล้านบาท
แต่การแยกขยะ โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับพฤติกรรมผ่านการขอความร่วมมือเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ภาคธุรกิจและชุมชน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยทำให้การจัดการขยะในประเทศไทยเข้มแข็งขึ้นทั้งระบบ

สกล สัจเดว CEO Micro Green Tech Co.,Ltd หนึ่งในภาคธุรกิจที่พยายามสร้างนวัตกรรมจัดการขยะมาอย่างต่อเนื่อง อธิบายว่า เวลานี้การจัดการขยะในประเทศ มีซาเล้ง ที่เป็นต้นทางของการแยกขยะเพื่อนำมาขาย ให้กับปลายทางอย่าง โรงกำจัดขยะรีไซเคิล แต่ตรงกลางที่เป็นตัวเชื่อม ระหว่างขยะที่มาจากมือคนทิ้ง ไปถึง โรงงานกำจัดขยะ ยังไม่ค่อยปีในประเทศไทย
“แรงจูงใจ ต้องสร้างให้ภาคเอกชนด้วย ถามว่า วันนี้ขยะแท้ ๆ จะมีมูลค่าได้ ต้องเกิดจากการคัดแยกที่ถูกต้อง สมัยก่อนภาครัฐมองว่าขยะ คือ ภาระ แต่วันนี้ขยะเป็นสิ่งที่มีค่า หากรู้จักเก็บผลตอบแทนก็ค่อนข้างดี…
แต่ปีนี้ พลาสติกราคาตก เพราะการแทรกแซงของตลาดโลก อย่างที่ผ่านมาจีนซื้อพลาสติกที่ย่อยแล้วไปรีไซเคิลที่ต่างประเทศ แต่วันนี้กำแพงภาษีทรัมป์ ทำให้แต่ละประเทศเจอปัญหาการส่งออก-นำเข้า ราคาในไทยก็ลดลงด้วย”
“ขยะแลกแต้ม” โมเดลธุรกิจ จับมือ ชุมชน แยกขยะต้นทาง
ภาคธุรกิจ SMEs บางส่วนที่มองเห็นโอกาสจากเทรนด์โลกสีเขียว อย่าง บริษัท Micro Green Tech จึงพยายามสร้างนวัตกรรม ที่เป็นตัวช่วยในการแยกขยะต้นทาง ก่อนส่งถึงปลายทางเพื่อ “รีไซเคิล” เพราะมองว่าการมีเครื่องมือช่วยคัดแยกที่ดีตั้งแต่ต้นทาง ทำให้ราคาปลายทางดี ยกตัวอย่าง “ตู้รับขวดพลาสติก และอะลูมิเนียม แลกแต้ม” หนึ่งในนวัตกรรมการคัดแยกขยะ โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยจัดการฐานข้อมูล โดยคนที่ทิ้งจะต้องลงทะเบียน เพื่อให้ระบบจดจำ ยี่ห้อ/ประเภทของควรน้ำ รวมถึงการสะสมแต้ม เพื่อแลกสิ้นค้าตามร้านค้าที่กำหนด



ตู้ขยะ แลก แต้ม เป็นหนึ่งในตัวช่วยของคนอยากแยกขยะ และแนวคิดนี้ยังถูกขยายไปในชุมชนที่ต้องการจัดการขยะ เช่น บริษัทน้ำมันพืช ที่เชื่อมโยงกับ 15 ชุมชน ใน จ.สมุทรปราการ เพื่อช่วยกันแยกขยะต้นทาง และใช้การสะสมแต้ม นำไปแลกกับสินค้าในร้านขายของชำใกล้ชุมชน จากนั้นร้านขายของชำ ก็สามารถมารับเงินได้กับภาคเอกชน (บริษัทน้ำมันพืชได้)
แม้การแลกแต้มจะมีกระแสตอบรับที่ดี และภาคธุรกิจพร้อมที่จะเข้ามาช่วยสร้างแอปพลิเคชัน นวัตกรรม แต่ยังขาดแรงจูงใจ และปัจจุบันตู้ลักษณะนี้ยังไม่แพร่หลาย ตัวเครื่องยังมีน้อย ขณะที่ฐานข้อมูลคนทิ้งขยะ ก็อยู่กับภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว สะท้อนว่า ข้อมูลการจัดการขยะต้นทาง อย่างการแยกขยะ ยังเป็นลักษณะ “ต่างคนต่างทำ”
“ภาครัฐสร้างแพลตฟอร์มกลาง – ภาคธุรกิจสร้างนวัตกรรม – ชุมชนมีส่วนร่วม” ภาพฝันจัดการขยะไทย
ภาคธุรกิจ เสนอว่า หากประเทศไทย ควรเลือกใช้จุดเด่นการจัดการขยะทั้งจากฝั่งยุโรป และเอเชีย เช่น การมีระบบเรียกคืนบรรจุภัณฑ์ ของเยอรมนี โดยรัฐจะกำหนดเครื่องหมายประทับบนสินค้า มีค่ามัดจำขวดพลาสติกทำให้มีราคาสูง และผู้บริโภคต้องนำขวดขยะมาทิ้งคืน เพื่อแลกกลับเป็นเงินคืน
ขณะที่ทาง ฝั่งเอเชีย มีตัวอย่างที่ดีจาก ฮ่องกง โดยรัฐบาล จะทำแพลตฟอร์มกลาง และให้ภาคเอกชน สร้างนวัตกรรม มาเชื่อมกับแพลตฟอร์มของรัฐ โดยมีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ ทำให้การจัดการขยะ มีฐานข้อมูลที่เป็นภาพรวมใช้ร่วมกันได้
มองกลับมาที่ประเทศไทย สกล ย้ำว่า ผลลัพธ์ที่ กทม.พยายามทำโครงการไม่เทรวม สะท้อนว่าแนวคิดนี้ได้ผลเพราะได้สามารถลดงบประมาณได้จริง 141 ล้านบาทในปี 2566 แต่ควรนำเงินส่วนนี้มาต่อยอด ส่งเสริมให้เอกชน และชุมชน มีแรงจูงใจในการจัดการขยะเพิ่มเติมต่อไป เช่น ให้ความช่วยเหลือด้านการสนับสนุนเงินทุน, สร้าง One Platform ให้ภาคธุรกิจร่วมสร้างนวัตกรรมต่อไป
“หากไม่สร้างนวัตกรรม ในอนาคต คนไทยอาจจะต้องนำเข้าถังขยะอัจริยะ เพราะผลิตเองไม่ได้ วันนี้สิ่งที่เหลือ เรายังสร้างนวัตกรรม ฮาร์ดแวร์ได้ แต่เรายังไม่ได้ส่งเสริม…”
สกล กล่าวทิ้งท้าย

