เปิด 6 ประเด็น นโยบายสุขภาพที่ยังไม่ถูกพูดถึง #เลือกตั้ง66

4 สำนักข่าว เชิญองค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการ ตัวแทนกลุ่มผู้ป่วยร่วมตรวจสอบนโยบายสุขภาพพรรคการเมืองต่าง ๆ ชี้ส่วนใหญ่ชูสิทธิประโยชน์เมื่อเจ็บป่วย แต่ไม่มีแนวทางป้องกันดูแลสุขภาพ จี้นักการเมืองประกาศเจตจำนงรวม 3 กองทุนสุขภาพ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ 

วันนี้ (5 เม.ย. 2566) The Active องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธาราณะแห่งประเทศไทย (Tha iPBS) สำนักข่าว Hfocus สำนักข่าว The Better News และสำนักข่าว Today ร่วมกันจัดเวทีเสวนา “ตรวจนโยบายสุขภาพพรรคการเมือง เลือกตั้ง 66” โดยเชิญองค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการตัวแทนกลุ่มผู้ป่วยร่วมเสนอความเห็น วิพากษ์นโยบายสุขภาพพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่หาเสียงในการเลือกตั้ง 2566

รีวิวนโยบายสาธารณสุข พรรคการเมืองพูดถึงอะไรบ้าง 

ภก.เพียร เพลินบรรณกิจ นักสื่อสารนโยบายสาธารณสุข สำนักข่าว Hfocus นำเสนอภาพรวมนโยบายด้านสาธารสุขและสุขภาพที่ทุกพรรคนำเสนอในการหาเสียงเลือกตังครั้งนี้โดยแยกออกเป็น 3 ประเด็นหลักคือ นโยบายหลักประกันสุขภาพและโครงสร้างระบบสุขภาพ นโยบายด้านบุคลากร และนโยบายเพิ่มสิทธิประโยชน์

เมื่อแยกนโยบายเป็นรายพรรค พรรคเพื่อไทยนำเสนอนโยบายหลักประกันสุขภาพและโครงสร้างระบบสุขภาพ 3 นโยบายคือบัตรประชนใบเดียวรักษาฟรีทั่วประเทศ ระบบ Telemedicine และโรงพยาบาลของรัฐกระจายอำนาจในรูปแบบองค์กรมหาชนท้องถิ่น ด้านสิทธิประโยชน์ 3 นโยบายคือ ศูนย์ชีวาภิบาลดูแลผู้ป่วยติดเตียงระยะสุดท้าย วัคซีน HIV และตรวจรักษาไวรัสตับอักเสบ C แต่ไม่มีนโยบายด้านบุคลากร

พรรคพลังประชารัฐยังไม่มีนโยบายทั้ง 3 ด้าน แต่มีนโยบายด้านอื่น ๆ 2 นโยบายคือ สนับสนุนเงินเดือนละ 10,000 บาทตั้งแต่ท้อง 4 เดือนจนถึงคลอดและนโยบายช่วยเงินเลี้ยงบุตร 3,000 บาทต่อเดือนนาน 6 ปี

พรรคภูมิใจไทย ด้านหลักประกันสุขภาพมีนโยบายเดียวคือ 30 บาทรักษาทุกที่ด้านบุคลากรคือเพิ่มค่าป่วยการ อสม. เป็น 2,000 บาท ด้านสิทธิประโยชน์ มี 5 นโยบายคือ นโยบายรักษามะเร็งฟรีตั้งศูนย์ฉายรังสีทุกจังหวัด นโยบายฟอกไตฟรีตั้งศูนย์ฟอกไตทุกอำเภอ นโยบายอาการป่วย 16 โรครับยาฟรีที่ร้านยานโยบายคัดกรองผู้สูงอายุเชิงรุกในชุมชนผ่านแอปพลิเคชั่น Smart อสม. และนโยบายสิทธิประโยชน์ผู้สูงอายุ 

พรรคประชาธิปัตย์ มีนโยบายด้านหลักประกันสุขภาพและระบบสาธารณสุขเพียง 2 นโยบายคือ บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรีทุกที่และส่งเสริมการเป็น Medical Hub

พรรคก้าวไกล เสนอรวมทั้งหมด 13 ประเด็น ด้านหลักประกันสุขภาพและระบบสาธาณสุข 2 ประเด็นคือ Telemedicine และส่งต่อ-หาเตียงด้วยระบบเชื่อมข้อมูลสุขภาพ ด้านบุคลากร 2 ประเด็นคือ ลดความเหลื่อมล้ำกระจายแพทย์สู่ชนบท และลดชั่วโมงการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนด้านสิทธิประโยชน์ 8 ประเด็น คือ ตรวจสุขภาพประจำปีฟรี คัดกรองมะเร็ง 6 ชนิดฟรีวัคซีนไข้เลือดออกและปอดอักเสบ รักษาสุขภาพดีมีรางวัล กองทุนดูแลผู้สูงอายุผู้ป่วยติดเตียง ตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน เพิ่มวันลาดูแลพ่อ-แม่ที่ป่วยระยะสุดท้าย และสิทธิจบชีวิตสำหรับผู้ป่วยที่รักษาไม่ได้

พรรคชาติไทยพัฒนา มีนโยบายสุขภาพดีมีเงินคืน 3,000 บาทเพียงประเด็นเดียว พรรคเสรีรวมไทยก็ฌมรนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรีเพียวประเด็นเดียว พรรครวมไทยสร้างชาติมี 2 ประเด็นคือ Telemedicine และสร้างศูนย์สันทนาการเพื่อผู้สูงอายุ 

ส่วนพรรคไทยสร้างไทยมีเพียงนโยบายด้านหลักประกันสุขภาพและระบบสาธารณสุขเพียงด้านเพียวแยกเป็น 4 ประเด็น ประกอบด้วย เพิ่มคุณภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็น 30 พลัส ปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยี AI การพัฒนา Telemedicine และ ให้ไทยเป็น Medical Hub ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก การผลิตเวชภัณฑ์ เครื่องสำอางค์ สมุนไพร

“ภาพรวมของนโยบายสาธารณสุขที่แต่ละพรรคนำเสนอในการเลือกตั้ง 2566 กล่าวได้ว่ามุ่งเน้นไปใน 3 ประเด็นคือการเพิ่มความสะดวก การพัฒนาระบบ IT และ เพิ่มสิทธิประโยชน์”

ภก.เพียรกล่าว

นโยบายที่ยังไม่ถูกพูดถึงมีอะไรบ้าง 

1. ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ ด้วยการรวม 3 กองทุน แก้กฎหมายประกันสังคม 

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า จุดอ่อนที่แต่ละพรรคไปไม่ถึง คือการลดความเหลื่อมล้ำในระบบประกันสุขภาพ ไม่มีใครสนใจกลุ่มผู้ประกันตน ที่มีอยู่กว่า 13 ล้านคน ให้สามารถได้รับการบริการเท่าเทียมกับอีก 48 ล้านคนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งที่จ่ายเงินสบทบในระบบประกันสุขภาพเพียงกลุ่มเดียว ขณะที่สิทธิอื่น ๆ ทั้งข้าราชการและบัตรทองได้รับงบประมาณจากแผ่นดินหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ซึ่งขณะนี้อยู่ 16,000 บาทต่อหัว หรือบัตรทอง 4,000 กว่าบาท

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องล้าหลังมากไม่มีใครมองในเชิงระบบเลย จะทำอย่างไรให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกับคนอื่น ทุกพรรคควรสนับสนุนให้โรงพยาบาลเอกชนมาอยู่ในระบบสุขภาพทั้งหมด ไม่เฉพาะแต่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ อยากเห็นการเยียวยาคนพิการเสียชีวิตจากการไปใช้บริการ การลดความเหลื่อมทั้ง 3 ระบบ เป็นหัวใจในเรื่องระบบประกันสุขภาพ

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค 

เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สิ่งที่อยากเห็นในอนาคตคือ การจัดลำดับการใชงบประมาณซึ่งต้องเน้นเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้คน รวมทั้งปัญหาสุขภาพใหม่ๆ เช่นฝุ่น P.M.2.5 เรื่องการเกษตรต่าง ๆ และการกำกับค่ารักษาพยาบาล 

สมชาย กระจ่างแสง กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

ด้าน สมชาย กระจ่างแสง กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ มองว่า ผิดหวังนโยบายของแต่ละพรรคที่ออกมา เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องสิทธิประโยชน์ไม่ใช่นโยบาย เช่น มะเร็งรักษาทุกที่เป็นเรื่องที่ทำอยู่แล้ว อยากเห็นนโยบายที่ให้สิทธิแก่ผู้ประกันตน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่จ่ายเงินในระบบหลักประกันสุขภาพเท่าเทียมกับสิทธิกลุ่มอื่น ๆ ควรรวมทุกกองทุนหลักประกันสุขภาพทุกกองทุนเป็นกองทุนเดียว เครื่องมือที่จะทำเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้ในหลักประกันสุขภาพในมาตรา 9 10 และ 11 ให้บอร์ดสปสช.ปรึกษาหารือกับกรมบัญชีกลางและประกันสังคม เพื่อทำสิทธิประโยชน์ในมาตรฐานเดียวกันเป็นอย่างน้อย 

ธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย 

ด้าน ธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่าถ้าทำระบบสุขภาพของไทยเป็นมาตรฐานเดียวจะควบคุมค่ารักษาพยาบาลได้การซื้อยารวมของประเทศซื้อโดยกองทุนเดียวสามารถต่อราคาได้ติดเพดานและลดความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจน แล้วเงินที่เหลือก็สามารถเอาไปส่งเสริมป้องกันสุขภาพ เพิ่มสิทธิใหม่ ๆ และเพิ่มบุคลากรที่ขาดในหน่วยบริการนั้น ๆ 

“ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ถุงทวารเทียม บัตรทองซื้อราคาหนึ่ง ประกันสังคมซื้อราคาหนึ่ง สิทธิข้าราชการซื้ออีกราคาหนึ่งทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน หรือโรคไตประกันสังคมและบัตรทองฟอกในราคา 1500 บาท สิทธิราชการฟอก 2000 บาท ทำไมต้องจ่ายแพงกว่า 500 บาท เพราะอะไรทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลเหมือนกัน บริการเหมือนกัน”

ธนพลธ์ กล่าว
ธนพร วิจันทร์ เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน

ธนพร วิจันทร์ เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน กล่าวว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุขคือ การรับบริการที่ผู้รับบริการต้องใช้เวลานานแทบทั้งวัน ต้องลางาน บางคนต้องเสียรายได้ กลายเป็นมีต้นทุนมากทั้งที่ผู้ประกันตนเป็นกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงิน ขณะเดียวกันสิทธิประโยชน์ก็ต่ำกว่าสิทธิอื่น ๆ  เช่นเรื่องยา มองว่าสิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุม และอยากเห็นการปรับวิธีคิดและโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการส่งเสริมป้องกันและทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพเหลือระบบเดียว มีความเท่าเทียมกัน ที่สำคัญรัฐมนตรีที่เข้ามาดูแลต้องมีความรู้ด้านสุขภาพ

2.นโยบายส่งเสริมป้องกันโรคที่ครอบคลุมคนทุกสิทธิ์ 

รศ.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล 

รศ.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล เห็นด้วยว่าสิ่งที่แต่ละพรรคนำเสนอมาเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พรรคการเมืองมีหน้าที่ต้องทำเรื่องกฎหมายให้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้ได้ศูนย์กลางชีวิตมนุษย์คือสุขภาพ และระบบสาธารณสุขที่ดีต้องสร้างความเป็นธรรมในสังคม หากประเทศไทยยังปล่อยให้มี 3 กองทุนในระยะยาว ถ้าคิดในเชิงสถิติจะเจ๊ง โดยเฉพาะกองทุนข้าราชการกลืนกินระบบเศรษฐกิจประเทศไทยโดยรวม เรื่องนี้เป็นระยะยาวที่ต้องแก้ไขให้เกิดหลักประกันสุขภาพมาตรฐานเดียว ขณะนี้มีปัญหาคือเรื่องการส่งเสริมป้องกันสุขภาพ 2 กองทุนคือประกันสังคมและข้าราชการไม่ครอบคลุม เป็นการริดรอนสิทธิทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน โดยไม่เห็นพรรคการเมืองพูดถึงเรื่องนี้เลย

3.นโยบายสุขภาพของผู้หญิง และการทำแท้งปลอดภัย

รศ.กฤตยา กล่าวว่า จำเป็นต้องมีนโยบายเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้หญิง และนโยบายตัดขวาง เช่น โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NDCs) นโยบายระบบฉุกเฉิน อยู่บนคอนเซปต์ ผู้ป่วยปลอดภัย ผู้ทำงานสาธารณสุขปลอดภัยด้วย ซึ่งเป็นคอนเซปต์ใหม่ของ WHO หลังโควิด ซึ่งเห็นด้วยกับการลดเวลาการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนข้อเสนอเรื่องเทเลเมดิซีนถือเป็นเรื่องที่ดี

ทัศนัย ขันตยาภรณ์ ที่ปรึกษาเครือข่ายโครงการ RSA 

ขณะที่ ทัศนัย ขันตยาภรณ์ ที่ปรึกษาเครือข่าย RSA มองในประเด็นทางเลือกของผู้หญิงท้องไม่พร้อมว่า ควรเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการด้านสิทธิการทำแท้งที่ปลอดภัย รวมทั้งการให้คำแนะนำปรึกษา ซึ่งปัจจุบันระบบโทรศัพท์ให้คำปรึกษาเข้าถึงยากมาก ต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้หญิงในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองให้สามารถเรียนจนจบ ทำงานที่มั่นคง มีความก้าวหน้าในอนาคต อยากให้พรรคการเมืองมองความสำคัญเรื่องนี้ ลูกที่โตจากแม่ที่มีคุณภาพและมีความสุข เราจะมีสังคมที่มีความสุข บางพรรคพูดถึงสวัสดิการเด็กในการเลือกตั้งปี2562 เคยพูดจะได้ 3,000 บาทครั้งนี้เพิ่มเป็น 10,000 บาทแล้วจะเป็นจริงได้หรือ 

เรากำลังประสบปัญหาเด็กเกิด เราพูดเรื่อง care giver เราอาจจะไม่มีcare giver ในอนาคตก็ได้ แล้วการเกิดน้อย เป็นการเกิดน้อยที่ด้อยคุณภาพด้วย ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ประชากรที่สำคัญคือ การเกิดที่มีคุณภาพ บอกว่าการเกิดที่มีคุณภาพต้องมาจากครรภ์ที่พร้อม ซึ่งหมายถึงผู้หญิงพร้อม ครอบครัวพร้อม แล้วก็ตั้งใจ 

“ดิฉันมาจากเครือข่ายคุมกำเนิดและยุติการตั้งครรภ์ เพราะมันเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่มีใครอยากพูดถึง พรรคการเมืองก็ไม่อยากพูดถึงให้เปลืองตัวเพราะเป็นประเด็นในเชิงศีลธรรม แต่ตอนนี้ สปสช.ให้ทำแท้ปลอดภัยฟรีที่รพ.รัฐเพื่อป้องกันผู้หญิงทำแท้งเถื่อนแล้วตาย และป้องกันการเกิดที่ไม่มีคุณภาพ แต่คนสิทธิ์อื่นยังทำไม่ได้”

ทัศนัย กล่าว

4.นโยบายฉลากเตือนอาหารปลอดภัย ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 

ด้าน ภญ.อรทัย วลีวงศ์ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ(IHPP) กล่าวว่า 70% ของไทยเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อ เป็นเหตุผลที่ต้องลงทุนด้านสุขภาพเพื่อลดผู้ป่วย แต่งบฯ ที่ใช้ในการป้องกันโรคปัจจุบัน 7% และเมื่อลงลึกจริง ๆ งบส่วนนี้ยังอยู่ในระหว่างก่อนป่วย คัดกรองหรือให้วัคซีน ซึ่งสิ่งที่คาดหวังและยังไม่เห็นจากนโยบายพรรคการเมืองคือการทำสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดี เช่น ภาษีสุขภาพ ประเทศไทยมีภาษีเหล้า ภาษีน้ำตาล แต่จริง ๆ ยังพัฒนาได้อีก และมาตรการทางภาษีถือเป็น 3 WIN คือลดการบริโภคลดผลกระทบต่อสุขภาพ รัฐบาลได้เงินเอาไปใช้ในการเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อีกโดยสามารถใช้มาตรการภาษีกับสินค้าที่มีผลต่อสุขภาพ เช่น โซเดียม 

“ก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอให้ทำฉลากอาหารโชว์เขียว เหลือง แดง ตามสารหวานมันเค็ม เกินกำหนดหรือไม่ แต่มีผู้เสียประโยชน์จากนโยบายนี้ ต้องท้าทายนักการเมืองว่ากล้าปกป้องสุขภาพประชาชนเหนือผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มหรือไม่” 

ภญ.อรทัย กล่าว

ภญ.อรทัย ยังกล่าวว่า สิ่งที่อยากเห็นคือการแพทย์ทางไกลซึ่งทุกพรรคมีนโยบายเรื่องนี้เหมือนกันหมด ดังนั้นอยากเห็นความชัดเจนภายใน 6 เดือน รวมทั้งนโยบายกฎหมายที่ปกป้องสุขภาพประชาชน แก้ปัญหาโครงสร้างอิทธิพลทางการค้าที่มีผลต่อสุขภาพประชาชนให้ได้ภายในหนึ่งปี

5.นโยบายการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยจิตเวชอย่างรวดเร็ว

ด้าน ฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ตัวแทนกลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้า กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเรื่องป้องกันส่งเสริมไม่ใช่แค่เรื่องร่างกายเท่านั้น แต่ปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมหลายๆ อย่าง และปัญหาที่รอการรักษาไม่ได้ ควรให้มีระบบการดูแลรักษาที่เป็นมิตร อย่างตนเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า ต้องใช้เวลาหรือขั้นตอนในการรอพบจิตแพทย์นานถึง 2-4 เดือน เพราะคนป่วยซึมเศร้าอาจรอไม่ได้ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับผู้ดูแลด้วย และต้องมีระบบฟื้นฟูให้กลับสู่สังคมด้วย 

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ตัวแทนกลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้า 

สังคมไทยเริ่ม มีกรณีผู้ป่วยจิตเวชทำร้ายคนในครอบครัว ชุมชนบ่อยขึ้น เพราะไม่รู้ว่าตัวเองป่วยจิตเวช ควรระบบฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวช  ให้กลับสู่สังคมได้ ขณะที่ผู้ป่วยจิตเวชที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการ กลับถูกจำกัดสิทธิ์การทำงาน 

“นโยบายพรรคการเมืองที่บอกจะเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ด้านไหน อันนี้ต้องลงไปดูในรายละเอียด ในประเทศไทยมีจิตแพทย์ 1.3 คนต่อประชากร 1 แสนคนผมไม่บอกให้เพิ่มจิตแพทย์ก่อน แต่อยากให้ไปดูลำดับความสำคัญ” 

กฤษฎา กล่าว

6.นโยบายแก้ปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอ รองรับกลุ่มติดเตียง – สูงวัย และหลักประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย

พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล หัวหน้าศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวในประเด็นผู้สูงอายุ และการดูแลผู้ป่วยประคับประคองว่า ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยแล้ว ซึ่งประชากร 20 % เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะส่งผลต่อระบบสุขภาพต่อไป โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายหรือผู้ป่วยประคับประคอง

พญ.ศรีเวียง กล่าวว่า ข้อเสนอนโยบายสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มติดเตียงกับผู้ป่วยประคับประคองต้องมีหน่วยงานดูแล ต้องพัฒนาระบบให้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก หมอพยาบาลที่มาทำงานด้านนี้ในปัจจุบันเป็นงานฝากไม่มีแพทย์พยาบาลทำงานเต็มเวลาหรือมีน้อยเพราะไม่มีหน่วยงาน ไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจน ต้องมีรูปแบบที่ชัดเจนให้ประชาชนได้เข้าถึงการดูแลแบบนี้ 

ที่สำคัญไม่มีใครอยากใช้เวลาสุดท้ายของชีวิตในโรงพยาบาลจะทำอย่างไรให้มีบริการที่บ้านหรือชุมชน ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กำลังผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ดำเนินการ แต่ปัญหาคืองบที่ สปสช.จ่ายรายหัว 6,000 บาทต่อปีไม่เพียงพอ ซึ่งควรจะนำงบประมาณของแต่ละหน่วยงานทั้ง อปท. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มารวมกันเพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย

จำรอง แพงหนองยาง รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ(SWING)

จำรอง แพงหนองยาง รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) กล่าวว่า สุขภาพคนไทยไม่ควรอยู่แค่ในมือแพทย์ แต่ควรให้ความสำคัญกับองค์กรหรือชุมชนที่สามารถให้บริการสุขภาพ เช่น กลุ่ม SWING ที่สามารถดูแลคัดกรอง ช่วยลดภาระแพทย์ได้มากโดยไม่ต้องไปแออัดอยู่ในโรงพยาบาล ถ้าจะมีนโยบายเป็นเมดิคัล ฮับ ต้องดูแลคนในประเทศให้ได้ก่อน และไม่ใช่จำกัดแค่เฉพาะคนเชื้อชาติไทย เพราะสุดท้ายแล้วคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานก็จะส่งผลต่อสุขภาพคนไทยอยู่ดี

7. ขอพรรคการเมืองอย่าทำนโยบายที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพ เพราะมีให้เห็นมาแล้ว

ด้าน นพ.อานนท์ กุลธรรมานุสรณ์ จากสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า มองภาพอนาคตสิ่งที่อยากได้คือระบบบริการสุขภาพที่เป็นธรรม ทั้งจำนวนเงินที่ใส่ในระบบ วิธีการจ่ายเงิน เรื่องบริการ สิทธิประโยชน์ที่เท่ากัน รูปแบบบริการที่เหมือนกัน ซึ่งในระยะสั้นต้องแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคมให้เกิดความเป็นธรรมต้องทำให้แต่ละกองทุนมีประสิทธิภาพเช่นจัดระบบปฐมภูมิสำหรับกองทุนข้าราชการ  ไม่ใช่ทุกคนวิ่งเข้าโรงพยาบาลใหญ่ และดูแลเรื่องยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ สำหรับนโยบายส่งเสริมสุขภาพอยากให้มองว่าอย่าทำนโยบายที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพ เพราะสี่ปีที่ผ่านมามีพรรคการเมืองบางพรรค ทำนโยบายที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพ

นพ.อานนท์ กุลธรรมานุสรณ์ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

สรุปข้อเสนอจากเวที 

ปิดท้ายการเสวนาโดย ภก.เพียร ได้สรุปภาพรวมข้อเสนอของเวทีเสวนา โดยนโยบายด้านหลักประกันสุขภาพและโครงสร้างระบบสุขภาพ วงเสวนามีข้อเสนอ 6 ประเด็นประกอบด้วย การลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมให้ได้สิทธิเท่ากับสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า-ข้าราชการ เรื่องการส่งเสริมป้องกันโรคยังไม่เท่ากับสิทธิอื่น การส่งเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนเข้ามาอยู่ในระบบประกันสุขภาพ การไม่เรียกเก็บเงินเพิ่มจากการรักษาพยาบาล การบริหาร การรอคิว การไม่ได้ค่าจ้างเมื่อลางาน การเก็บภาษีสินค้าที่ส่งผลต่อสุขภาพเช่น แอลกอฮอล์ ยาสูบ โซเดียม และการอุดหนุนราคาอาหาร-สินค้าสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้

ด้านบุคลากร มีข้อเสนอ 2 ประเด็น คือเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะจิตแพทย์ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 1.3 คน ต่อประชากร 100,000 คน และการพัฒนาเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยในชุมชน การสร้าง ผู้ดูแล( Care Giver) การพัฒนาหน่วยปฐมภูมิจากในชุมชน 

ด้านสิทธิประโยชน์มีข้อเสนอ 11 ประเด็น ประกอบด้วยการเพิ่มนโยบายและงบประมาณการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สิทธิประโยชน์สุขภาพผู้หญิงเช่นการทำ Ultrasound ขยายเรื่องการเยียวยาจากการใช้บริการทางการแพทย์นโยบายเรื่องผู้สูงอายุ ระบบฉุกเฉินต้องไม่มีการเก็บเงินเพิ่ม และการหาเตียงหลังจากใช้บริการระบบการแพทย์ฉุกเฉินแล้ว การเพิ่มสิทธิประโยชน์โรคจากการทำงาน สิทธิประโยชน์และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ สิทธิประโยชน์กับผู้ป่วยจิตเวชและนโยบายสุขภาพจิต แก้ปัญหาการรอคิวนานสำหรับการรักษาโรคซึมเศร้า การสนับสนุนผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช การป้องกันผู้ป่วยจิตเวชสิทธิประโยชน์สำหรับ LGBTQ และกลุ่มอาชีพขายบริการทางเพศ (Sex Worker) การดูแลสุขภาพในระดับชุมชน การสนับสนุนงบประมาณสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิระดับชุมชน การดูแลประคับประคองในผู้ป่วยระยะท้าย ทั้งร่างกายและจิตใจโดยเฉพาะเรื่องคุณภาพบริการ การดูแลในชุมชนโดยผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาล

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active