สภาผู้บริโภค ชี้ เรื่องร้องเรียนยาแพงเพียบ เชียร์ ‘ศุภจี’ วางมาตรการ คุมจริงจังต่อเนื่อง

เผยรับเรื่องร้องเรียนค่ารักษา รพ.เอกชน แพง มูลค่ารวมมากกว่า 25 ล้านบาท ส่วนใหญ่เจอค่าเวชภัณฑ์ สูงกว่าท้องตลาดหลายเท่าตัว ย้ำ กฎหมายมีอยู่แล้ว ไม่ต้องรื้อทำใหม่ แค่เพิ่มมาตรการ เชื่อรัฐบาล 4 เดือน ทำได้ ช่วยผู้บริโภคลดค่าใช้จ่าย แก้เหลื่อมล้ำเข้าถึงการรักษา หวังนโยบายจุดกระแสคนตื่นตัว มีสิทธิ์ต่อรอง รพ.เอกชน มากขึ้น

จากการตั้งเป้า ควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และป้องกันการตั้งราคาที่เกินความเหมาะสม รวมถึงการเปิดเผยราคายาอย่างชัดเจนต่อผู้ป่วย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ส่งผลให้หลายฝ่ายสนับสนุนแนวนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะองค์กรผู้บริโภค ที่ระบุว่า กรณีนี้มีผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามาหลายกรณี อีกทั้งในมุมกฎหมายก็มีแง่มุมที่ประชาชนยังไม่รู้ว่า มีสิทธิ์ที่จะไปหาซื้อยาในตลาดที่มีราคาถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชนได้

มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยกับ The Active บอกว่า ปัจจุบัน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ดูแลโดยมีพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ

มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาองค์กรของผู้บริโภค

โดยเกณฑ์ของกฎหมายที่กรมการค้าภายในกำหนดให้โรงพยาบาล คือ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการ 

  1. ทุกโรงพยาบาลต้องแสดงคิวอาร์โค้ดให้ผู้บริโภคสามารถเทียบราคายา เวชภัณฑ์ ได้

     
  2. โรงพยาบาลประเมินค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยทราบทุกครั้ง 

  3. ในกรณีจำหน่ายยาผู้ป่วยนอก ในใบแจ้งการจ่ายยาต้องมีแจ้งชื่อยาสามัญ และจำนวนหน่วยยูนิตในการจ่ายยาให้ผู้ป่วยทราบ ก่อนที่จะไปจะรับยาหรือจ่ายเงิน

ส่วนเรื่องที่มีผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามาเกี่ยวกับค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแพงเกินเหตุ หลายกรณี พบว่า ผู้บริโภคบางรายไม่ได้รับรายละเอียดของการรักษาต่อเนื่อง ว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไร หลังจากนั้นผู้ป่วยเสียชีวิต เมื่อรวบรวมใบเสร็จให้กับญาติ พบว่า มีค่ารักษถึง 30 ล้านบาท อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ระบุตัวเลขว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

ส่วนในระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภค ก็มีข้อเสนอต่อ กระทรวงพาณิชย์ ว่า ในตอนนี้ประกาศควบคุมมีออกมาแล้ว เหลือเพียงว่าการควบคุมนั้นจะใช้กฎหมายวงเล็บไหน ในมาตรา 25 ซึ่งสภาผู้บริโภค ขอสนับสนุนให้ใช้มาตรา 25 (1) , (2) และ (5) ในเรื่องของการกำกับราคา โครงสร้างต้นทุน การเปิดเผยต้นทุนราคาของโรงพยาบาลให้กับประชาชนทราบ และหากสามารถทำได้จริง ก็จะทำให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และลดความเหลื่อมล้ำสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ทุกโรงพยาบาล

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค

ขณะที่ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค บอกกับ The Active ด้วยว่า การลดค่าครองชีพของประชาชน โดยการควบคุมราคายา เวชภัณฑ์ เป็นต้นทางที่สำคัญของระบบบริการสุขภาพ เพราะเมื่อลดค่ารักษาพยาบาล จะส่งผลต่องบประมาณแผ่นดินด้วย และอีกทางคือคนที่ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน ก็สามารถไปใช้บริการได้มากขึ้น

“ปัญหาที่มีคือกฎหมายควบคุมมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถทำได้จริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอำนาจต่อรองของผู้บริโภคมีจำกัด บางครั้งประชาชนที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนเอง ก็อาจจะเกรงใจแพทย์ หรือแพทย์เองก็อาจถูกครอบด้วยนโยบายของโรงพยาบาล เนื่องจากค่ายา ก็เป็นหนึ่งในกำไรที่สำคัญ ต้องทำให้คนไข้ซื้อยาจากโรงพยาบาลให้ได้มากที่สุด”

สารี อ๋องสมหวัง

เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค จึงมองว่า การออกมาพูดถึงปัญหานี้ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะทำให้ประชาชนตื่นตัว และมีโอกาสที่จะใช้สิทธิ์ต่อรองกับโรงพยาบาลได้มากขึ้น

“จริง ๆ เป็นมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์มีมาอยู่แล้ว การทำเรื่องนี้ก็เป็นการออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากไม่ได้เป็นเรื่องที่ถึงกับต้องรื้อทำใหม่ การกำกับค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชน ก็จะส่งผลต่อระบบสุขภาพในภาพรวม ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม ประกันสุขภาพ และสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ด้วย”

สารี อ๋องสมหวัง

สารี ย้ำว่า ถ้าทำเรื่องนี้จริงจังแบบต่อเนื่อง ก็ส่งผลต่องบประมาณแผ่นดินที่จะใช้ เนื่องจากขณะนี้ทุกคนมีระบบประกันสุขภาพที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่เรื่องจริงก็คือ ถ้าโรงพยาบาลแพงมาก จะทำให้ค่าจ้างแพทย์แพงตามไปด้วย ฉะนั้น ทำให้เกิดภาวะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน ส่งผลต่อคุณภาพการรักษาของคนไข้ในระบบสวัสดิการสุขภาพ

“เราอยากเห็นว่าค่ารักษาพยาบาลเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ทำให้ผู้บริโภคหมดตัว”

สารี อ๋องสมหวัง

สำหรับการหยิบปัญหาราคายาแพงมาเป็นนโยบายของ รมว.กระทรวงพาณิชย์ครั้งนี้ ถือว่าตรงใจผู้บริโภคจำนวนมาก ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ข้อมูลว่า เฉพาะเดือน ม.ค. 2564 – พ.ค. 2568 มีข้อร้องเรียนกรณีค่ารักษาพยาบาลแพงของ สถานพยาบาลเอกชน 40 เรื่องด้วยกัน โดยมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 25 ล้านบาท ส่วนใหญ่ร้องเรียนประเด็นเรื่องค่าเวชภัณฑ์ราคาสูงกว่าท้องตลาดหลายเท่าตัว

ก่อนหน้านี้ ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค เคยให้ข้อมูลเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ว่า มีผู้บริโภคนำใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง มาร้องเรียน ระบุว่า เมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน 1 ครั้ง จะต้องมีค่าเวชภัณฑ์ ซึ่งถือว่า สูงเกินจริงมาก เช่น

  • ค่าพลาสเตอร์ปิดแผล ขนาด 6 เซนติเมตร ราคาท้องตลาดแพ็คละ 10 แผ่นมีราคาเพียง 250 บาท หรือประมาณ 25 บาทต่อแผ่น แต่มีราคาสูงขึ้นเป็น 224 บาทต่อแผ่น ต่างกันเกือบ 200 บาท คิดเป็น 700 %

  • สำลีก้อนขนาด 0.35 กรัม ราคาท้องตลาด 0.10 บาทต่อก้อน มีราคาสูงขึ้นเป็น 7 บาทต่อก้อน ต่างกันกว่า 6 บาท คิดเป็น 6,900%

  • น้ำเกลือ 1,000 มิลลิลิตร ราคาท้องตลาด 45 บาท มีราคาสูงขึ้นเป็น 919 บาท ห่างกัน 800 กว่าบาท คิดเป็น 1,900%

  • ค่าถุงมือยางทางการแพทย์ ราคาท้องตลาด 2.5 บาท ราคาสูงขึ้นเป็น 17 บาท ต่างกัน 14.5 บาท คิดเป็น 580%

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active