ภาคประชาชนและ ‘เพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้า’ ยื่นหนังสือเร่ง สปสช. ดันยาต้านเศร้าเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ บัตรประชาชนใบเดียวควรรักษาโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่ไหนก็ได้ ปัญหาใหม่ ‘โรคเรื้อรังซ้ำซ้อน’ ทำให้ผู้ป่วยโรคอื่นเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
วันนี้ 25 ธ.ค. 2566 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ ตัวแทนกลุ่มเพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) และสมาคมคนรุ่นใหม่กับนวัตกรรมทางสังคม (SYSI) ยื่นหนังสือ “ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ข้อเสนอ นโยบายเพื่อผู้ป่วยซึมเศร้า” 7 ประเด็นจากผลงานวิจัยโดยผู้ป่วยซึมเศร้าแก่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ฐิตินบ โกมลนิมิ ตัวแทนกลุ่มเพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้า ระบุว่า ในวัฎจักรของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีคนอยู่อย่างน้อย 3 กลุ่มหลัก คือ
- คนที่ไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจนอาการปรากฏแล้วและไม่มีโอกาสเข้ารับการรักษาพยาบาล
- คนที่รู้ตัวว่าป่วยแต่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาล และ
- ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่อยู่ระหว่างการรักษาและทุกข์อยู่กับระบบสุขภาพอย่างเดียวดาย
ช่วงหลายปีนี้มีผู้บริโภคหรือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและญาติผู้ป่วย ร้องเรียนและปรึกษาปัญหาการใช้บริการด้านการรักษาในระบบสุขภาพหลายรายมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ดังนั้นทางมูลนิธิฯ จึงริเริ่มโครงการวิจัย “ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่ความทุกข์ส่วนบุคคล เพื่อจัดทำข้อเสนอนโยบายเพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า”
ในปี 2566 ผลการวิจัยพบ ปัญหาการส่งต่อในทุกระบบหลักประกันสุขภาพไม่เอื้อกับผู้ป่วยทั้งขาดแคลนยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษา ยามีราคาแพง และยาบางรายการที่จำเป็นต่อการรักษาไม่ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ผู้ให้บริการอ้างเก็บเงินส่วนต่างจากผู้ป่วยเกิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจนผู้ป่วยบางรายต้องหยุดยาเอง หยุดการรักษาและกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังปัญหาขาดแคลนจิตแพทย์และนักจิตบำบัดทำให้การเข้าถึง ส่งต่อ รอคิวการรักษาเป็นเวลานาน ขาดทางเลือกในการรักษา เป็นต้น
เสนอเพิ่มยาต้านเศร้าและยาจิตเวชเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ
ดังนั้นจึงมีข้อเสนอเร่งด่วน คือ 1. ต้องการให้สปสช. เร่งรัดการเพิ่มยาต้านเศร้าและยาจิตเวชที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 4 รายการ เช่น โอแลนซาปีน (Olanzapine) อะริพิพราโซล (Aripiprazole) เวนลาฟาซีน (Venlafaxine) และ เมธธิลฟินิเดท(Methylphenidate)
ขณะนี้เรื่องยังติดอยู่ที่อนุกรรมการพิจารณาบัญชียาหลักแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดีกว่ายาที่มีในระบบขณะนี้ ตามคำแนะนำของกรมสุขภาพจิต ราช วิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยเสนอไว้ตั้งแต่ปี 2564 ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อต่อรองราคายาให้ถูกลงเพื่อนำไปสู่การทำระบบเบิกจ่ายยา ส่งยาตรงไปถึงโรงพยาบาล คลินิกจิตเวช และร้านยาทั่วประเทศ และเร่งแก้ปัญหาการเรียกเก็บค่ายาส่วนต่างจากผู้ป่วย รวมทั้งผลักดันยาดังกล่าวให้บรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติด้วย เพื่อลดต้นทุนการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย และลดค่าใช้จ่ายด้านยาของระบบสุขภาพโดยรวม
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษาได้แต่ด้วยซับซ้อนในการรักษาและเข้าถึงบริการไม่สะดวก ยามีราคาแพง ทำให้ผู้ป่วยบางรายหยุดยาเอง จึงกลับมาป่วยซ้ำและกลายเป็นผู้ป่วยซึมเศร้าเรื้อรัง ขณะที่ยาที่มีอยู่ในบัญชียาหลักฯ ส่วนใหญ่เป็นยากลุ่มกลุ่มที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อสารสื่อประสาทเพียงชนิดเดียว หรือ(Selective Serotonin Reuptake Inhibitors; SSRIs ) เน้นหนักไปที่ยับยั้งการเก็บกลับของเซโรโทนิน แม้ยังสามารถรักษาผู้ป่วยได้ดี
แต่สำหรับผู้ป่วยบางกลุ่มที่อาการรุนแรงหรือกลายเป็นโรคเรื้อรังจำเป็นต้องใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อสารสื่อประสาทหลายชนิด (Serotonin and Norepinephrine Reuptake Inhibitors; SNRIs) เช่น เวนลาฟาซีน ยาใหม่ ติดสิทธิบัตร และราคาแพง เป็นภาระค่าใช้จ่ายผู้ป่วยอย่างมากและมักถูกหน่วยบริการเรียกเก็บค่าส่วนต่างการรักษา
หากแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษานั้น หรือจำเป็นต้องได้รับยานอกบัญชีฯ การเรียกเก็บค่าส่วนต่างถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ระบุไว้ว่า สถานพยาบาล หรือโรงพยาบาล ‘ไม่สามารถเรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม’ หรือ ‘เรียกเก็บค่าบริการเกินกว่าที่คณะกรรมการกำหนดไว้’ (Extra Billing) จากผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ใช้บริการร้องเรียนกับ สปสช. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและสภาองค์กรของผู้บริโภคจำนวนมาก
ฐิตินบ ในฐานะผู้ป่วยซึมเศร้าและผู้วิจัย บอกว่า ได้รับการวินัจฉัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรงที่กลับมาป่วยซ้ำหลายครั้ง และมีแนวโน้มต้องกินยาต้านเศร้าประคองอาการไปตลอดชีวิต ซึ่งป่วยมาแล้ว 8 ปี โดยเฉพาะ 4 ปี หลังจำเป็นต้องพึ่งพาบริการบัตรทองแต่ถูกเรียกเก็บเงินยานอกบัญชียามาเกือบตลอด เมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งเจรจากับหน่วยบริการโดยไม่ให้เสียความสัมพันธ์กับแพทย์ผู้รักษา ทำให้การรักษาพยาบาล 3 ครั้งหลังไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว
“สิทธิที่เรามีอยู่แล้ว แต่เรากลับต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธินั้นมาและมีผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่รู้ ไม่กล้าเจรจากับแพทย์ผู้รักษา”
ฐิตินบ กล่าว
บัตรประชาชนใบเดียวควรรักษาโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่ไหนก็ได้
ส่วนข้อเสนอที่ 2 สืบเนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีนโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่” โดยจะเริ่มนำร่อง 4 จังหวัด ต้นปี 2567 และมีเป้าหมายจะขยายทั่วประเทศภายในตุลาคมปีเดียวกัน นโยบายดังกล่าวดี ที่เน้นให้ สปสช. เป็นFinancial data hub ผู้ป่วยสามารยื่นบัตรประชาชนเข้ารักษาที่หน่วยบริการไหนก็ได้ไปคลินิกเอกชน หรือใช้บริการร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ สปสช. จะตามจ่ายเงินให้ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของหน่วยบริการสุขภาพ และไม่ต้องใช้ใบส่งต่อข้ามเครือข่าย
แต่ในกรณีของผู้ป่วยซึมเศร้ามีข้อจำกัดหลายอย่างอาจไม่สามารถทำเช่นนั้นได้โดยเฉพาะการขาดแคลนจิตแพทย์ ที่ปัจจุบันนี้มีอยู่ประมาณ 850 คน และกว่าครึ่งหนึ่งกระจุกอยู่ในโรงพยาบาลรัฐและพื้นที่กรุงเทพฯ มากกว่า 200 คน ในขณะที่บางจังหวัดมีจิตแพทย์เพียงคนเดียว
ยิ่งสถานการณ์หลังโควิด 19 ระบาด แนวโน้มผู้ป่วยซึมเศร้าที่อายุมากกว่า 15 ปีเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 ล้านคน กลุ่มวัยแรงงานและคนหนุ่มสาวแสดงอาการของโรคนี้มากขึ้น และมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยจะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ มีคนเสี่ยงฆ่าตัวตายมากขึ้น ซึ่งการขาดแคลนจิตแพทย์สวนทางกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล บางสถานพยาบาลจิตแพทย์ต้องรับรักษาผู้ป่วยเฉลี่ยถึงวันละ 20 – 50 คน ทำให้การรอคิวและช่วงเวลาในการเข้ารักษาเฉลี่ย 30 นาที ผู้ป่วยบางคนได้คุยกับแพทย์น้อยมาก เพื่อเฉลี่ยเวลาให้กับผู้ป่วยที่รอคิวอยู่จำนวนมาก
“ถ้าไม่มีการจัดตั้ง คลินิกจิตเวชทุกโรงพยาบาล ทุกอำเภอและดึงสหวิชาชีพด้านจิตเวชเข้ามาสนับสนุน โดยเฉพาะโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิในระบบสุขภาพและในเขตเมือง ก็ไม่มีทางที่บัตรประชาชนใบเดียวจะรักษาโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่ไหนก็ได้ คลินิกจิตเวชจึงมีความจำเป็นเพื่อให้การรักษา ติดตามอาการ ทำได้สะดวกจนผู้ป่วยอาการดีขึ้นและหายป่วยโดยไม่ต้องรอใบส่งต่อเป็นครั้ง ๆ จากหน่วยบริการเจ้าของสิทธิ”
ฐิตินบ ในฐานะผู้วิจัยระบุ
สร้างทางเลือกการบำบัดให้หลากหลาย เพิ่มสิทธิประโยชน์การป้องกันมากขึ้น
ฐิตินบ เล่าว่า กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยตั้งคำถาม ทำไมระบบการรักษาต้องเริ่มต้นด้วยการจ่ายยา มันควรมีการดูแล แบบอื่นก่อนไหม สาเหตุอาจมาจากการที่มีแพทย์จำนวนน้อยก็ได้ ทำให้การจ่ายยาง่ายสุด แต่ถ้าโครงสร้างในระบบการรักษาออกแบบมาดี น่าจะลดเรื่องการใช้ยาได้
ดังนั้น ข้อเสนอที่ 3 ต้องการให้สปสช. และกรมสุขภาพจิต พัฒนาสายด่วนสุขภาพจิต โทร.1323 ให้เป็น ‘หน่วยแรกรับและสายปรึกษาสุขภาพจิตครบวงจร’ ทำงานเชิงรุกรับฟัง ให้คำปรึกษา ติดามประเมินภาวะอาการของโรค และสามารถส่งต่อหน่วยบริการทั้งรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายให้กับผู้ใช้บริการได้ เพื่อช่วยลดปัญหาการเข้าถึงการรักษาและลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายที่มีสาเหตุจากโรคจิตเวชให้ลดลง ซึ่งผู้ป่วยซึมเศร้าจำนวนมากกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับการรักษาติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
และข้อเสนอที่ 4 ขอให้บอร์ดสปสช. พัฒนาระบบ ส่งเสริมผู้ป่วยซึมเศร้าและจิตเวชเข้าถึงบริการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพจิตโดยไม่ถูกเรียกเก็บเงินส่วนต่าง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาฟื้นฟูสุขภาพใจควบคู่กับการใช้ยา และเตรียมพร้อมคืนผู้ป่วยกลับคืนสู่สังคม เช่น การบำบัดความคิดและพฤติกรรม เป็นต้น
ฐิตินบ กล่าวถึงข้อเสนออื่น ๆ อีก ได้แก่ (5) การดูแลผู้ป่วยซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่เกี่ยวข้องในทุกระบบหลักประกันสุขภาพต้องมีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน(6) มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการให้บริการโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่เกี่ยวข้อง หลังมีการจัดตั้ง “คลินิกจิตเวชทุกโรงพยาบาล ทุกอำเภอ” และ (7) ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พิจารณาการขึ้นทะเบียนยาต้านซึมเศร้าที่ได้มาตรฐาน เฝ้าระวังเรื่องคุณภาพยา การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล และติดตามการใช้ยาไม่พึงประสงค์ เพื่อให้ผู้สั่งจ่ายยาเกิดความมั่นใจในยาชื่อสามัญเพื่อการเข้าถึงยาได้มากขึ้น
ธนพลธ์ ดอกแก้ว เครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) และประธานเครือข่ายโรคเรื้อรัง ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ขณะนี้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังไม่ได้เสียชีวิตจากโรคที่ตัวเองเป็น เช่น ผู้ป่วยโรคไต ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โรคมะเร็งด้วยทุกข์จากภาวะการเจ็บป่วยของตัวเองแล้ว ยังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจความเครียดจากข้อจำกัดต่าง ๆ ในชีวิต ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า กลายเป็นโรคเรื้อรังซ้ำซ้อน ทำให้คุณภาพชีวิตตกต่ำมากยิ่งขึ้นและมักเลือกหนทางฆ่าตัวตายเป็นทางออก
นพ.ชลน่านรับข้อเสนอผลักดันยาต้านเศร้าบางชนิดขึ้นบัญชียาหลัก
ด้าน นพ.ชลน่าน กล่าวว่าความคืบหน้าการขึ้นบัญชียาต้านซึมเศร้าบางชนิดให้อยู่ในบัญชียาหลักของ สปสช. เพื่อให้เบิกจ่ายได้ง่าย ขณะนี้รับข้อเสนอจากกลุ่มฯมายอมรับในหลักการ ซึ่งก่อนที่จะมีข้อเสนอนี้ ก็มีคณะกรรมการศึกษามาแล้ว กำลังจะพิจารณายาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะโรคซึมเศร้า
ส่วนในช่วงที่รอการประกาศขึ้นบัญชียาหลัก ซึ่งต้องมีการจัดหางบประมาณ ผู้ป่วยที่ต้องการใช้ยานี้จะเข้าถึงได้อย่างไร ก็ให้แนวทางในประชุมไปแล้วว่าให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาจากความจำเป็นมากน้อยอย่างไร ก็ไปใช้กลไกการบริหารจัดการ ที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ หรือการเจรจาต่อรองเรื่องราคาที่เหมาะสมหรือการเจรจรต่อ
“มียาต้านเศร้าที่อยู่ในบัญชียาหลักอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นยาที่รักษาได้ มันมีเหตุที่เกิดคือผู้ที่กินยาอยู่ในบัญชี บางทีขาดยา ทำให้อาการรุนแรง และต้องใช้ยาที่มีความจำเพาะมากขึ้น”
นพ.ชลน่าน กล่าว
นพ.ชลน่าน บอกอีกว่า ข้อเรียกร้องที่อยากให้สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 ยกระดับเป็นหน่วยแรกรับผู้ป่วยซึมเศร้าเข้าสู่การรักษาในระบบนั้น ปัจจุบันก็ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการ ม.3 สามารถโทรปรึกษา และส่งต่อเคสได้แล้วเช่นกัน