ย้อนดูเส้นทางการทำงานในสภาฯ ของ “หมิว สิริลภัส” ยกระดับระบบสุขภาพจิต เรียกร้องให้เพิ่มงบฯ ยา บุคลากร ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี เชื่อมโยงข้อมูล
หากย้อนกลับไปในการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 5 ม.ค.67 สิริลภัส กองตระการ หรือ สส.หมิว จากพรรคก้าวไกล (ในขณะนั้น) ลุกขึ้นเปิดตัวว่าเป็นอดีตผู้ป่วยซึมเศร้า และขอใช้ประสบการณ์ตนเองในการอภิปรายงบฯ ด้านสุขภาพจิตเพื่อผู้ป่วยซึมเศร้า โรคจิตเวชและยาเสพติด ซึ่งน่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีการพูดถึงกลุ่มคนเปราะบางนี้ในสภาผู้แทนราษฎรอย่างมีพลัง และเป็นการเปิดพื้นที่ทางสังคมให้ได้เรียนรู้และเข้าใจผู้ป่วยซึมเศร้ามากขึ้น

สส.หมิว กล่าวถึงงบประมาณในสัดส่วนกระทรวงสาธารณสุข ว่า นโยบายที่พรรคเพื่อไทย หาเสียง โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขณะนั้น ได้เสนอประเด็นสุขภาพจิตและยาเสพติดให้เป็นนโยบายสำคัญ 1 ใน 13 นโยบาย ยกระดับ 30 บาทพลัส แต่ในรายละเอียดงบประมาณได้ให้น้ำหนักไปที่อาการของผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติด มากกว่าปัญหาสุขภาพจิตปกติ
เธอยังกล่าวเปรียบเทียบจำนวนผู้ป่วยสุขภาพจิตที่เกิดจากยาเสพติดกับผู้ป่วยสุขภาพจิตประเภทอื่นว่า ผู้ป่วยสุขภาพจิตที่เกิดจากยาเสพติดมีประมาณ 2 แสนคน ขณะที่ผู้ป่วยสุขภาพจิตประเภทอื่น มีประมาณ 1 ล้านกว่าคน แตกต่างกันกว่า 5 เท่า โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีถึง 3.6 แสนคน โดยย้ำว่าปัญหาผู้ป่วยจิตเวชอื่น ๆ อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เหตุการณ์ความรุนแรงที่ก่อความสูญเสียนับครั้งไม่ถ้วน สาเหตุเกิดมาจากผู้ป่วยจิตเวชมีอาการขาดยา อาจเพราะในครอบครัวไม่มีคนคอยกำชับ ดูแล กินยาให้ตรงตามกำหนดส่งผลให้อาการกำเริบและก่อความรุนแรงขึ้นได้
โดยอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จในประเทศไทยในปี 65 อยู่ที่ 7.97 คนต่อประชากร 1 แสนคน ในทุกวันจะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ 14 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี กลุ่มที่น่ากังวลใจที่สุดคือกลุ่มอายุวัยรุ่น นักศึกษา วัยทำงาน ที่เขาจะเติบโตมาเป็นบุคลากรของประเทศ จากเอกสารของกรมสุขภาพจิต หัวข้อปัญหาการฆ่าตัวตาย ได้ให้ข้อมูลถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายไว้ว่า ผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 9 ใน 10 มีอาการป่วยทางจิตเวช อย่างใดอย่างหนึ่ง ขณะทำการฆ่าตัวตายและสาเหตุสำคัญมาจากภาวะซึมเศร้าและการติดสุรา
อีกทั้งการเข้าถึงบริการสาธารณสุขนั้นยังค่อนข้างจำกัด ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ในบ้านเรา หากลองไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่ามีจิตแพทย์มากกว่าบ้านเรา นอกจากนี้ในต่างจังหวัดยังพบว่ามีจิตแพทย์ไม่ถึง 1 คนต่อประชากร 1 แสนคน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องบุคลากรสุขภาพจิตในกลุ่มที่เป็นเด็กและวัยรุ่นที่มีเพียงแค่ 295 คนทั่วประเทศ มี 23 จังหวัด ไม่มีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
นอกจากนี้ ยังระบุถึงถึงงบประมาณในสัดส่วนกระทรวงสาธารณสุข ว่า นโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียง โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอประเด็นสุขภาพจิตและยาเสพติดให้เป็นนโยบายสำคัญ 1 ใน 13 นโยบาย ยกระดับ 30 บาทพลัส แต่ในรายละเอียดงบประมาณได้ให้น้ำหนักไปที่อาการของผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติด มากกว่าปัญหาสุขภาพจิตปกติ
“การจัดสรรงบประมาณให้กรมสุขภาพจิต ซึ่งได้แค่ 1.8% จากงบของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น โดนตัดออกไปถึง 69.4% นอกจากนี้ เงินอุดหนุนรายโครงการที่ดูแลสุขภาพจิตวัยรุ่นและวัยทำงานก็มีน้อย เทียบกับโครงการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มาจากยาเสพติดโครงการเดียว ได้งบประมาณถึง 1 ล้านบาท รัฐบาลต้องกลับไปทบทวนการจัดสรรความคุ้มค่า ค่าตอบแทนที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับเจ้าหน้าที่จิตเวชได้ทำงานต่อไป ตอบโจทย์สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพิ่มบุคลากรด่านหน้า สร้างแรงจูงใจ เพิ่มสิทธิประโยชน์ในการรักษา และเพิ่มบัญชียาหลัก”
สิริลภัส กองตระการ

อนุฯ ศึกษาสุขภาพจิตทุกช่วงวัย กู้วิกฤตระบบสาธารณสุข
หลังเดินหน้าอภิปรายงบฯ ด้านสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง 22 พ.ค. 68 สส.หมิว ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการปรับปรุงระบบบริการสุขภาพจิตของประชาชนทุกช่วงวัย พร้อมย้ำถึงวัตถุประสงค์ของการตั้งอนุฯ ชุดดังกล่าว ว่า ปัญหาสุขภาพจิต เป็นวิกฤตการสาธารณสุขอีกวาระหนึ่งของประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ป่วยจิตเวชมากกว่า 3 ล้านคน ประสบปัญหาเครียด ซึมเศร้า ไบโพลาร์ คิดฆ่าตัวตายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข จึงมีมติในวันที่ 10 เม.ย. 68 ให้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการปรับปรุงระบบบริการสุขภาพจิตของประชาชนทุกช่วงวัย มีวาระการดำเนินงาน 90 วัน โดยอนุฯ คณะนี้จะประกอบไปด้วย ผู้แทนราษฎร ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิต นักวิชาการ และภาคประชาชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ ศึกษาพิจารณาสภาพปัญหา สาเหตุ และแนวทางการดูแลสุขภาพจิตของประชากรกลุ่มต่าง ๆ การปรับปรุงระบบการให้บริการสุขภาพจิตทั้งการพัฒนากำลังคน ระบบข้อมูล งบประมาณ ระบบเครื่องมือ และการอภิบาลระบบ ครอบคลุมการให้บริการภาครัฐและเอกชน ปรับปรุงระเบียบ กฎหมาย ที่เอื้อต่อการพัฒนาระบบสุขภาพจิต
จากที่ทราบตามรายงาน สส.หมิว ได้ข้อมูลว่ามีงบประมาณน้อย ในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อจะแก้ไขปัญหา เช่น การเพิ่มกำลังคน บุคลากรต่าง ๆ ทำให้การเพิ่มกรอบอัตรากำลังคนทำได้น้อย การมีแรงจูงใจหรือประสานบุคลากรที่ให้อยู่ในระบบก็จะน้อยลงด้วย เรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่นการใช้ AI เชื่อมโยงข้อมูล การใช้นวัตกรรมในการรักษาทำให้ผู้ป่วยหายได้เร็วมากขึ้น การเพิ่มรายชื่อยาจิตเวชในบัญชียาหลักแห่งชาติให้ผู้ป่วยได้มีทางเลือกมากขึ้น รวมถึงชุดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยควรจะเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้นเหล่านี้จะทำอย่างไร
อีกส่วนหนึ่งคือ การเพิ่มความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิต ที่กรมสุขภาพจิต พยายามขับเคลื่อนอยู่ตอนนี้ คือ เน้นการส่งเสริม และป้องกัน เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต เพิ่มบุคลากร ซึ่งส่วนตัวมองว่ากรมสุขภาพจิตเดินมาถูกทางแล้ว
“ตอนนี้คน ของ เดินไปได้ช้าด้วยงบประมาณที่จำกัด เพราะฉะนั้นเราป้องกันไว้ก่อนไม่ให้มีผู้ป่วยหน้าใหม่ ถ้าเราทำตรงนี้ได้ก่อน ช้อนคนที่มีภาวะไม่กลายเป็นผู้ป่วย ถือว่าใช้งบฯ ที่น้อยลง ถ้าเกิดทำสำเร็จงบฯ ที่มีอยู่น้อยนิด กรมสุขภาพจิตจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
สิริลภัส กองตระการ
ส่วนความเห็นต่อร่าง ร่าง พ.ร.บ.สุขภาพจิตฉบับใหม่นั้น สส.หมิว บอกว่า พ.ร.บ.สุขภาพจิต ที่มีอยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาว่าผู้ป่วยคือใคร อำนาจของคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติมีอะไรบ้าง ตอนนี้มีร่างฯ ของคณะรัฐมนตรีที่จะเสนอเข้ามา คือเพิ่มเรื่องของยาเสพติดเข้าไป เพิ่มอัตราของคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติที่มีหน่วยงานเพิ่มเข้ามามากขึ้น กองทุนสุขภาพจิตแห่งชาติ ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าจะสามารถนำเข้าสู่สภาฯ เมื่อไร
แต่สิ่งที่ต้องการ คือ จะเพิ่มเนื้อหาใน พ.ร.บ.สุขภาพจิต ให้มากขึ้นได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ยังไม่เห็นนิยามคำว่า นักจิตวิทยา นักบำบัด หรือ สหวิชาชีพต่าง ๆ ว่าควรจะอยู่ภายใต้สังกัดหน่วยงาน กระทรวง กรม หรือกองใด ตัวอย่างนักจิตวิทยาปรึกษา ที่เป็นกำลังสำคัญอย่างมากต่อการลดปัญหาเวลานี้ แต่ยังมีสถานะเป็นสมาคมไม่มีการกำกับดูแล ส่งผลต่อความไม่มั่นคงในอาชีพ ความก้าวหน้า รวมถึงเมื่อกระทำความผิดไม่สามารถเอาผิดทางอาญา พักใช้หรือยึดใบประกอบวิชาชีพได้เช่นเดียวกับแพทยสภา ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันที่มีการหลอกลวง คนที่กำลังป่วยทางใจอยู่แล้ว

ภายใต้การเมืองสลับขั้ว การวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด บางคนอาจรู้สึกโกรธ ท้อใจ สิ้นหวัง ซึ่งภายใต้แรงกดทับที่แตกต่างกันการระเบิดออกทางอารมณ์ ผ่านถ้อยคำ คอมเมนต์ด้อยค่า ต่าง ๆ อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งโดยตั้งใจ และขาดสติ
หากแต่การแสดงความเห็นที่อาจสร้างบาดแผลทางใจให้กับคนหนึ่งได้อย่างคาดไม่ถึง เราอาจถอยหลังเพื่อหยุดคิดซักนิด ว่าความโกรธที่ว่านั้นสามารถวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสร้างสรรค์ได้หรือไม่โดยไม่เหยียบย่ำ ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อมนุษย์ด้วยกัน