ตัวแทนประชาชน เสนอ สะท้อนปัญหา ‘ตายดี’ คนไม่รู้สิทธิ์ ขาดผู้ดูแลมืออาชีพ รัฐไม่สนับสนุน family care giver ไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างรพ.กับชุมชน เสนอตั้งสมาคมวิชาชีพ ตั้งกองทุน ลดหย่อนภาษีผู้ดูแล
เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 68 ภายในวงเสวนา “Human Life-Brary 01 : นโยบายดี ๆ เพื่อการอยู่ดีตายดี” ภายในงาน Death Fest 2025 ณ เมืองทองธานี มีการเปิดรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนถึงผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ดี-ตายดีโดยมีตัวแทนจากคณะกรรมาธิการ การสาธารณสุข ร่วมรับฟัง ได้แก่ กัลยพัชร รจิตโรจน์ รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร สิริลภัส กองตระการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สส.เขตบางกะปิ พรรคประชาชน และ ศศินันธ์ ธรรมนิฐินันท์ รองประธานคณธกรรมาธิการกฏหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร

จากประชาชนผู้เข้าร่วมเกือบ 30 คน โดยมากอยู่ในบทบาท “ผู้ดูแล” หรือ Care Giver (CG) ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยในครอบครัว ในระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือน – 10 ปี และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องดูแลทั้งทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยมีการสะท้อนปัญหาและข้อคิดเห็น ดังนี้
ปัญหาของ “ผู้ดูแล”
- เป็นผู้ดูแลแบบไม่ตั้งตัว – ขาดความรู้พื้นฐาน
- ผู้ดูแลส่วนมากมักเจอสถานการณ์คับขัน ฉุกเฉิน เช่น อยู่ ๆ แม่ก็เป็นสโตรก ต้องดูแลทันที จึงกลายปัญหา ว่าไม่รู้จะดูแลอย่างไรในยามคับขันเพราะไม่เคยมีความรู้พื้นฐาน หรือโอกาสในการเรียนรู้หลังจากนั้นก็น้อยมาก ต้องเรียนรู้จากหน้างานซึ่งทำได้ยากเพราะขาดการฝึกฝนมาก่อน
- ขาด “ผู้ดูแลมืออาชีพ” ไร้มาตรฐาน สร้างความั่นใจไม่ได้
- ตอนนี้ ในไทยมีเพียงหลักสูตร “อบรมผู้ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง (Caregiver)” จำนวน 70 ชั่วโมง จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่เปิดการอบรมอย่างเป็นมาตรฐาน
- อีกส่วนหนึ่งของผู้มาเป็น “ผู้ดูแล” จะเป็นพยาบาล ซึ่งมักออกมารับงานรพ.เอกชน และ ผู้ช่วยพยาบาล หรือพยาบาลเกษียณที่มักเป็นผู้ดูแลตามผู้ป่วยตามบ้านหรือชุมชน ซึ่งทำภายใต้ความรู้เดิมที่เรียนมา แต่อาจไม่ได้มีความรู้เฉพาะโรคหรือบริบทผู้ป่วย
- นอกนั้นจะเป็นบุคคลทั่วไปที่ถูกจ้างมา โดยครอบครัวมักประกาศรับสมัครเองหรือหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ก (คล้ายการรับสมัครคนทำงานบ้าน) ซึ่งการคัดกรองคุณภาพ มาตรฐานในการทำงาน และความปลอดภัยยังเป็นไปได้ยาก
- เช่นเดียวกับ สิริลภัส กองตระการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สส.เขตบางกะปิ พรรคประชาชน ระบุว่า ปัญหาที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน คือ ความต้องการเรื่อง “ผู้ดูแล” โดยตอนนี้ แบ่งผู้ดูแลได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ดูแลตามนามสกุล (ลูกหลาน) ผู้ดูแลอาชีพ (จากการจ้างงาน) และ Nursing Home ซึ่งใน 2 กลุ่มแรก เกิดขัอเรียกร้องมากที่สุด
“ทั้งกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นลูกหลาน และผู้ดูแลจากการจ้างงาน ยังขาดหลักสูตรอบรมที่ชัดเจนและเพียงพอ รัฐก็ขาดการประสานงานกับหน่วยความรู้อย่างรพ. เพื่อให้เป็นจุดเชื่อมต่อให้ประชาชนมีความมั่นใจและเป็นผู้ดูแลมืออาชีพให้ได้”

คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สส.เขตบางกะปิ พรรคประชา
- ขาด Day Care
- สำหรับบางครอบครัว การทำให้บ้านกลายเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยอาจไม่ใช่เรื่องง่าย และการจ้างให้ผู้ดูแลมาที่บ้านอาจไม่ใช่เรื่องสะดวก จึงมีความต้องการสถานที่อย่าง Day Care ที่พาผู้สูงอายุไปอยู่แบบไป-กลับ แต่ตอนนี้กลับไม่มีบริการจากภาครัฐที่ชัดเจน ส่วนบริการจากท้องถิ่นก็ไร้มาตรฐาน ในขณะที่บริการจากเอกชนมีราคาแพง
- สำหรับ Day Care ในกทม. ยังคงมีอยู่บ้าง แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง เนื่องจาก Day Care จำนวนหนึ่ง ยังไม่ผ่านมาตรฐาน อาจเนื่องจากถูกระบุว่าไม่ถูกสุขลักษณะ หรือไม่มีผู้ดูแลที่ผ่านการอบรมจากหลักสูตรมาตรฐาน
- อย่างไรก็ตาม มีความต้องการของประชาชนเกิดขึ้นมาก จึงเกิดการเปิด Day Care รูปแบบชุมชน คือ ฝากไว้กับคนข้างบ้าน ชาวบ้านดูแลกันเองตามสภาพ ไม่มีการกำกับรองรับหรือมาตรฐานใด ๆ
- รัฐไม่สนับสนุน family care giver – ขาดรายได้จิตใจทรุดโทรม
- หลายครอบครัวต้องให้สมาชิกในครอบครัวบางคนออกมาเป็น “ผู้ดูแล” เนื่องจากการจ้างผู้ดูแลผูกโยงกับความไว้วางใจและยังทำให้มีรายจ่ายเพิ่ม แต่ขณะนี้รัฐแทบไม่มีเงินช่วยเหลือ แม้จะมีเงินจาก “ครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุ” จาก พม. แต่ไม่เพียงพอ ลูกหลานต้องลาออกจากงาน ขาดรายได้ แต่ค่าใช้จ่ายพุ่งทะยาน กระทบปัญหาสุขภาพจิต และไม่มีทางออก

- ชุมชน-รพ. ไม่ส่งต่อข้อมูล – การดูแลต่อเนื่องทำได้ยาก
- การส่งต่อคนไข้จากชุมชนไปรพ.ยังคงเป็นเรื่องยุ่งเหยิง ข้อมูลไม่เชื่อมต่อ หรือขาด ๆ หาย ๆ สื่อสารยาก การไปศูนย์สุขภาพแต่ละแห่งต้องใช้ใบส่งตัวทำให้ต้องใช้เวลานาน คนจึงเลือกตัดขาดจากระบบสุขภาพชุมชน และมุ่งไปยังรพ.ใหญ่เลย โดยเฉพาะในกทม.
- ผู้ป่วย-ผู้สูงอายุต้องการการดูแลเฉพาะโรคแต่ได้รับการดูแลที่ general เกินไป
- ในความจริง มีผู้ป่วยและผู้สูงอายุมีความจำเพาะมาก เช่น โรคสมองเสื่อม (dementia) มะเร็ง หรือผู้ป่วยระยะท้ายเอง ก็มีทั้งเด็กและผู้สูงอายุ
- ทุกกลุ่มต้องการการดูแลต่างกัน แต่ระบบการวิธีการดูแลทุกวันนี้กลับเป็นภาพกว้าง ทำกับคนไข้ทุกคนเหมือน ๆ กันทั้งที่ทุกคนมีความต้องกาการดูแลต่างกันสิ้นเชิง

- ไม่รู้สิทธิ
- ไม่รู้ว่าสิทธิและสวัสดิการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนเองบ้าง โดยเฉพาะ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 12 ที่ผู้ป่วยวาระท้ายสามารถแสดงความประสงค์ที่จะไม่รับบริการทางการแพทย์ได้ หรือการได้รับการวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า (Advance Care Planning, ACP) ทั้งที่มีความต้องการสูงมาก
สิริลภัส ยังชี้อีกว่า มีผู้ดูแลจำนวนมากยังไม่รู้สวัสดิการของตนเอง ทั้งในเรื่องของการขึ้นทะเบียนผู้พิการกรณีมีผู้ป่วยติดเตียงเพื่อเข้าถึงสวัสดิการ เช่น แผ่นรองซับผ้าอ้อม และยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณไม่พอ
“หน่วยบริการปฐมภูมิต้องประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้มากกว่านี้ว่าประชาชนมีสิทธิอะไรบ้าง แม้ที่ผ่านมา อสส.หรืออสม.จะเก็บข้อมูลสำรวจความต้องการและจำนวนผู้ป่วย ผู้สูงอายุในชุมชนแล้ว แต่ยังคงไม่ได้รับสวัสดิการถ้วนหน้า เนื่องจากงบประมาณยังจำกัดอยู่” สิริลภัส อธิบาย
เปิดข้อเสนอนโยบายประชาชน : ตั้งสมาคมวิชาชีพ – ลดหย่อนภาษี – ตั้งกองทุนผู้ดูแล
โดยจากปัญหาทั้งหมดนี้ ผู้เข้าร่วมได้ระดมความเห็นและมีข้อเสนอนโยบายทั้งสิ้น 6 ประการ ได้แก่
- ต้องมีองค์ความรู้มาตรฐานสำหรับ “ผู้ดูแล” ทั้งผู้ดูแลในครอบครัว หรือผู้ดูแลที่จ้างงานมา
- ต้องมีสมาคมวิชาชีพผู้ดูแล เพื่อให้มีการอบรมผู้ดูแลอย่างมีความเป็นมืออาชีพ และต้องถูกตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อให้ความมั่นใจว่า หากจ้างงานผู้ดูแลที่ได้รับการรับรองจากสมาคมนี้ จะดูแลพ่อแมได้อย่างดีตามมาตรฐาน
- ต้องมีฐานข้อมูลดิจิทัล เชื่อมโยงทุกหน่วยสุขภาพ เพื่อลดภาระผู้ดูแล และยกเลิกระบบใบส่งตัว
- ต้องการเงินอุดหนุน ลดหย่อนภาษี ให้แก่ลูกหลานหรือสมาชิกในครอบครัว ที่ทำหน้าที่ “ผู้ดูแล”
- ต้องมีธนาคารอุปกรณ์ทั่วถึง (เตียง ถังอ็อกซิเจน รถเข็น ไม้เท้า และเครื่องให้มอร์ฟีน) ที่เข้าถึงได้ง่ายและพอเพียง (ตอนนี้มีในบางพื้นที่ ตามความความสนใจของหน่วยบริการในชุมชนนั้น ๆ)
- ต้องมีการจัดตั้ง “กองทุนผู้ดูแล” เพื่อช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์ และค่าเสียโอกาส