คนกรุง 3% มีโอกาส “ตายดี” อะไรคือความท้าทายในเมืองหลวง ?

80% ของคนไทยอยากจากไปอย่างสงบที่บ้าน แต่คนกรุงมีโอกาสเพียง 30% ซึ่งน้อยกว่าคนต่างจังหวัด และมีเพียง 3% เท่านั้นที่มีโอกาสตายดี ‘Policy Forum’ ระดมข้อเสนอยกระดับนโยบายชีวาภิบาล ให้กรุงเข้าถึง “การตายดี” ได้ทั่วถึง

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 The ActivePolicy Watch ไทยพีบีเอส จับมือภาคีเครือข่าย ชวนติดตามนโยบายตายดี สัมผัสประสบการณ์และเส้นทางสู่การตายดีที่ออกแบบได้  พร้อมเปิดพื้นที่สนทนาเพื่อร่วมออกแบบนโยบาย สร้างระบบบริการสุขภาพ กรุงเทพมหานคร ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการตายดีได้  ใน “Policy Forum : ตั้งใจว่า จะตายดี ปล.ฉันอยู่ในกรุงเทพฯ” ในงาน ‘Death Fest 2025 : Better Living, Better Leaving : อยู่อย่างมีความหมาย เผชิญความตายอย่างเป็นสุข“ Impact Exhibition Hall 6 เมืองทองธานี

เสียงสะท้อน “การตายดี” ที่ผู้ป่วยติดเตียงต้องเผชิญ

วงเสวนาเริ่มต้นด้วยบทสนทนาของ อรณา ชัยสุขสังข์ ผู้ดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียงจากโรคหัวใจ ไตเสื่อม สมองเสื่อม และต่อมลูกหมากโต ที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เปราะบางอย่างยิ่ง เพราะแค่สัมผัส คุณพ่อก็บอกว่าเจ็บแล้ว และแพทย์โรคหัวใจยังเตือนด้วยว่าหากติดเชื้อจะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมาก

ทว่า พ่อของเธอกลับไม่เข้าเกณฑ์รักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) เนื่องจากแพทย์ประเมินว่าอวัยวะยังคงทำงานได้ แม้ไม่สมบูรณ์ ทำให้ได้รับสิทธิ์ของผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียวเดือนละ 600 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดูแลสูงถึงเดือนละ 50,000 บาท ต้องระดมกับพี่น้องในทุก ๆ เดือน

เมื่อ อรณา รู้จัก “เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม” จากชุมชนกรุณา ทำให้เธอเข้าถึงการดูแลอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ดูแลแม่เมื่อ 2-3 ปีก่อน กระทั่งถึงพ่อ ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ เพราะสามารถปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะผ่านทางโทรศัพท์ วิดีโอคอล หรือบางครั้งก็มีแพทย์จากทีมเยือนเย็นเข้ามาเยี่ยมเยียน หากไม่ “เยือนเย็น” เธอคงไม่รู้จะรับมืออย่างไร และคงร้อนใจมาก

ปัญหา คือ ทำไมการเข้าถึงการรักษาแบบประคับประคองในโรงพยาบาลตามสิทธิ ยังเป็นเรื่องยาก ? รวมไปถึงการเดินทาง ที่แม้จะมีสิทธิประโยชน์ให้ผู้สูงอายุนั่งรถแท็กซี่ฟรีไปพบแพทย์ได้ แต่สำหรับผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถอยู่ในอิริยาบถที่นั่งได้ จึงกลายเป็นเรื่องไกลตัว ?

เรื่องราวของ อรณา เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบการดูแลผู้ป่วยติดเตียงในกรุงเทพฯ ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมและ “การตายดี” ที่สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

3% เท่านั้นที่ “ตายดี” อะไรคืออุปสรรคในเมืองหลวง

สิทธิในการ ตายดีไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้มานานแล้วกว่า 20 ปี แม้ 80% ของคนไทยอยากจากไปอย่างสงบที่บ้าน แต่คนกรุงกลับมีโอกาสเพียง 30% ซึ่งน้อยกว่าคนต่างจังหวัดมาก และมีเพียง 3% เท่านั้นที่มีโอกาสตายดี เพราะวัฒนธรรมของพื้นที่ ความไม่เข้าใจของคนในครอบครัว หรือข้อจำกัดของคอนโดมิเนียม ห้องเช่า

วงเสวนามองว่า การยอมรับของตัวเองและคนในครอบครัว คือก้าวแรกสู่ “การตายดี” ที่จะนำไปสู่การปฏิเสธที่จะไม่ยื้อชีวิต การหาหมอเท่าที่จำเป็น และการเลือกเสียชีวิตภายในบ้าน

แต่ปัญหาคือ เมื่อเราปฏิเสธที่จะไม่ยื้อชีวิต ไม่เพียงแต่ครอบครัวที่อาจจะยังไม่เข้าใจ การได้รับการดูแลในระบบการรักษาพยาบาลอาจจบลงไปด้วย อย่างสิทธิที่จะได้รับผ้าอ้อมฟรี หรือการรักษาที่จะได้รับการตรวจจากแพทย์ เพราะ “การดูแลแบบประคับประคอง” หรือ “Palliative Care” ที่หวังว่าจะเข้ามาเติมในช่วงสุดท้ายของชีวิต กลับมีบุคลากรไม่เพียงพอ และ ยังมีความรู้หรือความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน

โดยเฉพาะคำว่า “ชีวาภิบาล” ยังคงถูกตั้งคำถามอยู่เสมอว่า จะเป็นการดูแล 1) ผู้ป่วยระยะท้ายเพียงอย่างเดียว 2) ผู้ป่วยระยะท้ายรวมผู้ป่วยระยะยาว หรือ 3) ผู้ป่วยระยะท้าย ผู้ป่วยระยะยาว และผู้สูงอายุ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้การประเมินอาการพ่อของ ‘อรณา’ ยังไปไม่ถึงการดูแลแบบประคับประคอง

อย่างไรก็ตาม ต่อให้กรอบคำนิยามชัด แต่โจทย์ใหญ่ที่ต้องคิดกันต่อคือ “ใครจะทำ”

มีเงิน มีของ แต่ไม่มี “คน” จะขับเคลื่อนไปได้อย่างไร

“ความขาดแคลนบุคลากร” เป็นสิ่งสำคัญที่ พญ.จิราภา คชวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบประคับประคอง โรงพยาบาลสิรินธร อยากให้เติมเต็มมากที่สุด เพราะในการดูแลผู้ป่วยฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก เธอกลายเป็น “ความหวัง” เดียว ของประชากรกว่า 100,000 คนในพื้นที่

“เราไม่เคยเห็นความชัดเจนในความก้าวหน้าทางอาชีพ หรือแม้แต่เงินเดือนที่เหมาะสม สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ที่จะเป็นแรงจูงใจให้บุคลากรเข้ามาทำงาน หรืออาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพฯ มีแรงผลักดันที่จะเดินเยี่ยมผู้ป่วยไปในพื้นที่ต่าง ๆ”

พญ.จิราภา คชวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบประคับประคอง โรงพยาบบาลสิรินธร

โดยปกติรัฐจะให้เบิกงบประมาณในการดูแลผู้ป่วย Palliative Care ได้ 6 – 12 เดือน และถ้าเสียชีวิตจะได้อีก 3,000 บาท หรืออีกนัยหนึ่งว่าใช้ระบบ “E-claim” แต่ในระดับกรุงเทพฯ โดยเฉพาะศูนย์บริการสาธารณสุขจะใช้ระบบ “E-hhc” เบิกจ่ายต่อการเยี่ยม 500 บาท/ครั้ง/เดือน แต่สูงสุดไม่เกิน 10 ครั้งต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนด้วยซ้ำ

แต่ชีวิตผู้ป่วยรอไม่ได้ พญ.จิราภา จึงตัดสินใจ “สร้างเครือข่าย” จับมือระหว่างสำนักอนามัยต่าง ๆ ทำงานร่วมกัน โดยตัวเองจะให้คำปรึกษาเรื่องแผนการรักษา เตรียมแผนการดูแลล่วงหน้าเตรียม เพื่อส่งต่อให้กับศูนย์บริการสาธารณสุข จัดสรรคนลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วย และหากผู้ป่วยเจ็บปวดหรือมีอาการใด ๆ ก็สามารถกลับมาโรงพยาบาลได้

เยือนเย็นฯ โมเดลดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่สังคมต้องร่วมสร้าง

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ศ.นพ.อิศรางค์  นุชประยูร  เยือนเย็นวิสาหกิจเพื่อสังคม มองว่า “ความเข้าใจ” ของทั้งตัวผู้ป่วยและครอบครัวเป็นหัวใจสำคัญ ของการเตรียมพร้อมสู่ “การตายดี” ที่ เพราะในปัจจุบัน แพทย์ด้าน Palliative Care มักได้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายเมื่อมีเวลาเหลือเพียงน้อยนิด ทำให้การดูแลเป็นไปได้อย่างจำกัด

“ในมุมมองของแพทย์ เราอยากดูแลตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่รอให้ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะท้ายแล้ว สิ่งที่หมอ Palliative Care เจอคือตอนที่ผู้ป่วยมีเวลาเหลือแค่ 2 วัน หรือ 2 สัปดาห์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่น่าทำนัก”

ศ.นพ.อิศรางค์  นุชประยูร  เยือนเย็นวิสาหกิจเพื่อสังคม

ปัญหานี้รวมถึงข้อจำกัดของเนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่รับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ทำให้ตัวเองจัดตั้ง “เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม” ขึ้นมา เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่ต้น

ปัจจุบันเยือนเย็นฯ ให้ดูแลผู้ป่วยได้ประมาณ 40 คนต่อเดือน หรือ 450 คนต่อปี แต่ “ศ.นพ.อิศรางค์” มองว่า การพึ่งพารัฐเพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่ทางออก ไม่อยากให้คาดหวังมากว่ารัฐจะมาช่วย แต่อยากให้ทุกคนร่วมมาสร้างสังคมใหม่ด้วยกัน จะได้ลดภาระของรัฐลง และสิ่งเหล่านี้อาจทำได้โดยไม่ต้องรอ

ทั้งนี้หากมีบริการเหมือนกับเยือนเย็นฯมากขึ้น สถานการณ์ในการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่ “แก่ เจ็บ ตาย” อาจดีขึ้น มากกว่าเดิม

ต้นทุน “ตายดี” ที่ต่อยอดได้

ในภาพรวมของกรุงเทพฯ นพ.ภูริทัต แสงทองพานิชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ บอกว่า กทม.ได้มุ่งเน้นการอบรมบุคลากรการแพทย์ให้มีความเข้าใจในการดูแลแบบประคับประคองมากขึ้น พร้อมทั้งวางแผนจัดตั้งระบบดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลทุกแห่ง

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงบริการ กทม. ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 7 โซน โดยโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เป็นพื้นที่นำร่อง ซึ่งโรงพยาบาลในแต่ละโซนจะจัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุและคลินิกดูแลประคับประคอง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้ตั้งแต่เจ็บป่วยแรก ๆ   

นอกจากนี้ กทม. ยังพัฒนาระบบโรงพยาบาลออนไลน์ผ่าน LINE Official Account และแอปพลิเคชัน “Bangkok Health Map” เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติสามารถปรึกษาแพทย์และพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงจัดตั้งทีมอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในคอนโดมิเนียมและหมู่บ้านจัดสรร

อย่างไรก็ตาม นพ.ภูริทัต ยอมรับว่า แต่ละโซนมีความพร้อมในการให้บริการไม่เท่ากัน และยังมีความท้าทายในการสร้างความเข้าใจให้กับบุคลากรและประชาชน เชื่อว่าในอนาคตคนกรุงทุกคนจะสามารถเข้าถึงการ “ตายดี” ได้ แต่ต้องใช้เวลา

ยันรัฐบาลเดินหน้าต่อ “นโยบายตายดี”

“นโยบายชีวาภิบาล” ที่ไม่ได้ถูกระบุชัดในวันแถลงนโยบายรัฐบาลของนายก “แพทองธาร” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 ที่จริงแล้วยังไม่ได้หายไปไหน โดย พญ.ปฐมพร ศิรประภาศิริ ที่ปรึกษาระดับสาธารณสุข ยืนยันว่า รัฐบาลยังให้การสนับสนุน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสังคมสูงวัย โดยมี 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ 1) ผู้สูงอายุทั่วไป 2) ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และ 3) ผู้ป่วยระยะประคับประคอง

ซึ่งปีนี้ จะเป็นปีแรกที่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานกลุ่มนี้ รวมถึงค่าแรงของนักบริบาล นักสังคมสงเคราะห์ ที่เรียกว่า “Care Giver” จะถูกจ่ายโดยท้องถิ่น นั่นหมายความว่า งบประมาณเหล่านี้นี้จะลงไปยัง “ศูนย์บริการสาธารณสุข” เช่น สำนักอนามัย เป็นต้น

ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรือห้องเช่า ที่ต้องการจากไปอย่างสงบ เบื้องต้นสามารถเข้าไปยังโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โรงพยาบาลราชวิถี หรือ เนิร์สซิ่งโฮมที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขได้แล้ว และในอนาคตจะมี หอผู้ป่วยชีวาภิบาลเพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มมากขึ้น ให้ทุกคนมีสิทธิที่จะ ตายดีได้อย่างเท่าเทียม

ทำอย่างไรให้กรุงเข้าถึง “การตายดี” ได้ทั่วถึง

นโยบายชีวาภิบาลจะถูกขับเคลื่อนจนเห็นอย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่ อาจต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดย The Active ขอรวบรวมข้อเสนอจากวงเสวนานี้ เพื่อร่วมกันติดตามในประเด็นเหล่านี้ต่อ

  • มีความรู้มากขึ้น
    • ประชาสัมพันธ์เพื่อเตรียมตัวตายดีมากกว่านี้
    • ให้ความรู้เรื่อง Palliative Care หรือ โรงพยาบาลที่มี Palliative Care
    • เห็นข้อมูลค่าใช้จ่ายในแต่ละแบบ วางแผนการตายได้
    • สร้างความรู้ ความเข้าใจของบุคลากรการแพทย์ด้าน Palliative Care ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  • ญาติเข้าใจ เรื่องกายตายดี หรือ บริจาคร่างกาย
  • เข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึง
  • เพิ่มงบฯ/สวัสดิการ
    • สวัสดิการผู้สูงอายุภาครัฐช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่าย 5,000 บาท/เดือนเพิ่มงบฯ สปสช. จาก 10,442 บาท เป็น 30,000 บาท/คน/ปี
    • บุคลากรการแพทย์ได้รับเงินเดือนอย่างเหมาะสม
  • เพิ่มการดูแลตามบ้าน
    • โครงการจิตอาสา ช่วยกันดูแลผู้ป่วยตามบ้าน
    • ลงทะเบียนคนโสด/ผู้สูงอายุในชุมชน มีคนคอยเยี่ยม
  • การุณยฆาต
    • ถูกกฎหมาย
    • ใช้แคปซูลการุณยฆาต

สุดท้ายนี้ “การตายดี” ในกรุงเทพฯ แม้จะเป็นโจทย์ที่ท้าทาย แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน เชื่อว่าจะกรุงเทพฯ จะกลายเป็นเมืองที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขจนถึงวาระท้าย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active