ย้ำ ยินดีให้ตรวจ 100% แล้วตัดงบฯ เฉพาะรายการที่ผิด แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำผลสุ่มตรวจ 3% ไปขยายเป็น 100% ชี้ควรมีองค์กรกลางอิสระตรวจแทน
จากกรณีผู้บริหารโรงพยาบาลรัฐ ในเขตสุขภาพที่ 5, 7 และ 11 ได้ร่วมออกจดหมายเปิดผนึก คัดค้านแนวทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ใช้ผลสุ่มตรวจเวชระเบียนเพียงบางส่วนแล้วขยายผลหักเงินชดเชยค่าบริการผู้ป่วยในทั้งปี เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา
วันนี้ (15 ส.ค. 68) นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชบุรี อดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เปิดเผยกับ The Active ว่า เรื่องดังกล่าวมีการหารือกับ เลขาธิการ สปสช. และทีมตรวจสอบ (Auditor) รวมถึง นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ ว่าที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมอบหมายมาพูดคุย
จากการหารือ สปสช.มีท่าทีจะตัดเกณฑ์คุณภาพออกจากการตรวจ เหลือเพียงการพิจารณากรณีที่ไม่มีการให้บริการจริง ขณะที่ประเด็นการ ขยายผล (Extrapolate) ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละเขตสุขภาพ

“เราจึงทำหนังสือยืนยันจุดยืนส่งถึงประธานอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสข.) เพราะตัวแทนโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไปใน อปสข.มีเพียง 1 คน ทำให้ไม่มีโอกาสชี้แจงโดยตรง จึงใช้วิธีลงนามร่วมกันในแต่ละเขต”
นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์
ตัวแทนชมรม รพศ./รพท. ระบุว่า ขณะนี้ สปสช.โยนการตัดสินใจไปยังเขตสุขภาพ ซึ่งหลายเขตทยอยแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว โดยหลังจาก สปสช. แต่ละเขตสรุปความเห็น จะส่งต่อไปยังส่วนกลางเพื่อพิจารณา
สำหรับข้อกังวลของภาคประชาชนที่สนับสนุนการสุ่มตรวจเวชระเบียนเพื่อควบคุมงบประมาณ นพ.อนุกูล ชี้แจงว่า โรงพยาบาลไม่ได้ขัดข้องต่อการสุ่มตรวจ แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำผลสุ่มตรวจเพียงบางส่วนมาขยายเป็นการหักงบฯ 100% เพราะไม่สะท้อนความเป็นจริง
“ถ้าตรวจ 100% แล้วตัดงบเฉพาะรายการที่ผิด เรายินดีเต็มที่”
นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์
ทั้งนี้ยังเห็นด้วยต่อข้อเสนอให้มีองค์กรกลางอิสระมาตรวจแทนกองทุนหลักประกันฯ เพื่อลดความขัดแย้ง เนื่องจากกองทุนมีแรงจูงใจในการใช้จ่ายให้น้อยที่สุด ขณะที่โรงพยาบาลต้องการให้ได้รับงบเต็มตามการให้บริการจริง
นพ.อนุกูล ระบุว่า เรื่องนี้ยังไม่ยุติ ต้องรอข้อสรุปจากแต่ละเขต โดยปัจจุบันประเด็นที่หารืออยู่ครอบคลุมเพียงงวดงบประมาณไตรมาส 1-2 ของปี 2568 แต่ข้อเสนอของโรงพยาบาลครอบคลุมถึงปีงบประมาณ 2569 ด้วย ซึ่งต้องติดตามว่าจะถูกนำไปปรับใช้หรือไม่
สำหรับ จดหมายเปิดผนึกถึงประธานคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพ ระดับเขตพื้นที่ เขตสุขภาพ 5,7 และ 11 ระบุ ตามที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้มีการนำเสนอแนวทางการปรับลด เงินชดเชยค่าบริการผู้ป่วยใน (RW) โดยมีมาตรการตรวจสอบเวชระเบียนของผู้รับบริการในไตรมาส 1 และ 2 ของปีงบประมาณ 2568 ด้วยการสุ่มตัวอย่าง 3% เพื่อนำผลที่ได้มาขยายผล (Extrapolation) กับข้อมูล ทั้งหมด 100% ซึ่งส่งผลให้ค่า RW ลดลงทั่วประเทศ และจะนำไปใช้ในการคำนวณเงินชดเชยค่าบริการสำหรับโรงพยาบาลนั้น
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เขตสุขภาพที่ 5,7,11 ขอเรียนว่าได้พิจารณาแนวทางดังกล่าวแล้ว และมีข้อคัดค้านในประเด็นสำคัญ ประการ ดังนี้
- การนำผลการตรวจสอบคุณภาพเวชระเบียนมาใช้เป็นเกณฑ์หักเงินชดเชยค่าบริการที่ได้รักษาไปแล้ว : โรงพยาบาลยืนยันว่าเวชระเบียนที่บันทึกไม่ครบถ้วนหรือไม่สมบูรณ์ เช่น การลงข้อมูล Summary discharge ที่ไม่ครบถ้วน การเขียนบันทึกที่ไม่ชัดเจน หรือลายเซ็นอ่านยาก เป็นประเด็นด้าน “คุณภาพของการบันทึก” ซึ่งควรนำไปใช้เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงระบบการบันทึกเวชระเบียนให้มีคุณภาพ ยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานของการ “Overclaim” เพื่อนำมาหักเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลได้ให้บริการแก่ผู้ป่วยไปแล้ว ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักที่โรงพยาบาลต้องปฏิบัติอย่างเต็มที่หากมีการทุจริตหรือการโกงเกิดขึ้นจริงโรงพยาบาลพร้อมที่จะให้ตรวจสอบและรับผิดชอบ แต่การนำประเด็นด้านคุณภาพการบันทึกมาผูกโยงกับการหักเงินชดเชยค่าบริการ ถือเป็นแนวทางที่ไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้องตามหลักการบริหารจัดการทางการเงินและการบริการสุขภาพ
- การขยายผลจากผลการสุ่มตรวจ 3% เป็น 100%: การนำผลการตรวจสอบข้อมูลเพียง 3% มาขยายผลเทียบเคียงกับข้อมูลทั้งหมด 100% ทำให้โรงพยาบาลถูกปรับลดค่า RW ลงอย่างไม่สมเหตุสมผลและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง การดำเนินการในลักษณะนี้ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลได้อย่างแท้จริง และส่งผลกระทบต่อเงินชดเชยที่โรงพยาบาลได้รับอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลขนาดเล็กและโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการให้บริการประชาชนในพื้นที่ชนบทและได้รับผลกระทบหนักกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่
การใช้มาตรการดังกล่าวจะสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ โดยเงินชดเชยที่ลดลงจะทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการในอนาคต


