ตัวแทนเครือข่ายคลินิกชุมชนอบอุ่น เผย แนวทางปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ตั้งคณะทำงานร่วม สธ. – สปสช. – หน่วยบริการ เดินหน้าโมเดลนำร่องโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี แก้ปัญหาหนี้ค่าส่งต่อ – ขาดทุนสะสม หวังขยายทั่วกรุงเทพฯ ปี 2569
ในช่วงเวลาที่สังคมกำลังจับตามองแนวทาง ปฏิรูป สปสช. หลังเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยบริการและกองทุนบัตรทอง ตัวแทนจาก คลินิกชุมชนอบอุ่น ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นด่านหน้าในระบบปฐมภูมิ ออกมาแสดงความเห็นถึงแนวทางที่เป็นไปได้จริงในการแก้ปัญหาเชิงระบบ ผ่านรายการ Flash Talk EP.77 “งบไม่มา… แต่ผู้ป่วยยังรอ”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์ ตัวแทนเครือข่ายคลินิกชุมชนอบอุ่น เปิดเผยถึงสถานการณ์ล่าสุด โดยยืนยันว่า สิ่งที่ต้องการไม่ใช่การ รื้อระบบ แต่คือการ ปรับปรุงให้ทำงานร่วมกันได้จริง

ปฏิรูป หรือ ปรับปรุง ต้องเริ่มจากโครงสร้างอภิบาลระบบ
ศรินทร บอกถึงคำว่า ปฏิรูป สปสช. อาจเป็นคำที่แรงเกินความจำเป็น เพราะปัญหาส่วนใหญ่ของระบบหลักประกันสุขภาพไม่ได้อยู่ที่เจตนารมณ์ของกฎหมาย หากแต่อยู่ที่ กลไกการบริหารและอภิบาลระบบ
“เราไม่จำเป็นต้องรื้อใหญ่ทั้ง สปสช. แต่ต้องปรับปรุงกลไกการทำงาน เช่น การแยกบทบาทของหน่วยบริการปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และศูนย์เฉพาะทาง (Excellent Center) ให้ชัดเจน คล้ายระบบของสิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจะไม่รับผู้ป่วยทั่วไป แต่เน้นกรณีซับซ้อนจริง ๆ เพื่อให้ทรัพยากรถูกใช้ตรงจุด”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
เธอย้ำว่า หากประเทศไทยสามารถสร้างระบบอภิบาลแบบแยกชั้น ได้จริง จะลดภาระโรงพยาบาลใหญ่ และทำให้ผู้ป่วยทั่วไปกลับมารับบริการที่หน่วยปฐมภูมิ ซึ่งเป็นหัวใจของระบบได้อย่างแท้จริง
ตั้งคณะทำงานร่วม 3 ฝ่าย – เดินหน้า ‘นพรัตน์โมเดล’
ศรินทร เปิดเผยว่า ในการหารือกับกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีข้อเสนอให้ตั้ง คณะทำงานร่วม ระหว่าง 3 ฝ่าย คือ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. และตัวแทนหน่วยบริการระดับพื้นที่ โดยมี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองปลัด สธ. เป็นผู้ร่วมกำกับ ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารที่เข้าใจปัญหาในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีที่สุดคนหนึ่ง
“เราอยากได้ผู้บริหารที่คิดบวก พร้อมแก้ปัญหา และฟังเสียงหน่วยบริการจริง ๆ ร่วมเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่คิดแทนกันฝ่ายเดียว โมเดลที่เราผลักดันอยู่คือ นพรัตน์โมเดล ที่เริ่มทดลองในพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
สำหรับ นพรัตน์โมเดล คือ แนวทางบริหารพื้นที่ที่ให้ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เป็นศูนย์กลางเครือข่าย ดูแลประชากรกว่า 3.5 แสนคนในเขตตะวันออกของกรุงเทพฯ โดย ยกเลิกระบบใบส่งตัว และใช้ฐานข้อมูลออนไลน์เชื่อมระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาล คนไข้ที่คลินิกดูแลไม่ได้ สามารถส่งข้อมูลออนไลน์ไปโรงพยาบาลได้เลย ไม่ต้องถือใบส่งตัว และโรงพยาบาลจะเห็นข้อมูลการรักษาทั้งหมดทันที ลดความซ้ำซ้อน และช่วยให้คนไข้ได้รับบริการเร็วขึ้น

ปัญหาการเงิน ‘หนี้ค่าส่งต่อ–คลินิกขาดทุน’
ศรินทร ยังกล่าวว่า ปัญหาหลักที่ทำให้คลินิกชุมชนอบอุ่นจำนวนมากไปต่อไม่ได้ คือระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะ ค่าส่งต่อผู้ป่วย ที่สูงเกินเงินเหมาจ่ายที่คลินิกได้รับ
“เวลาคลินิกส่งคนไข้ไปโรงพยาบาล เราต้องจ่ายค่าส่งต่อครั้งละ 800 บาท ถ้าเกินกว่านั้นก็ต้องช่วยกันลงขัน สมาคมคลินิกฯ ประเมินว่ามีคลินิกกว่า 60 แห่งที่อาจต้องถอนตัว เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต่อได้ บางแห่งไม่ได้รับเงินติดต่อกัน 3 เดือน ต้องกู้เงินมาจ่ายค่ายา บางคนถึงขั้นขายที่ดินเพื่อให้คลินิกอยู่ได้”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
เธอยังระบุด้วยว่า ล่าสุดได้รับแจ้งจาก สปสช. ว่า จะปรับระเบียบใหม่ ให้คลินิกที่ประสงค์ถอนตัวสามารถแจ้งล่วงหน้าเพียง 1 เดือน (จากเดิม 6 เดือน) เพื่อให้มีเวลาหาผู้มารับต่อประชากรได้เร็วขึ้น
“เชื่อว่าแก้ได้” – รมว.สธ. และผู้บริหาร สปสช. ไฟเขียว
แม้ปัญหายืดเยื้อมาหลายปี แต่ ศรินทร ก็ยังเชื่อว่า การหารือรอบล่าสุดระหว่างคลินิก กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. จะเป็น จุดเริ่มต้นของทางออกที่แท้จริง
“ทั้งปลัดกระทรวงฯ และรัฐมนตรีให้ไฟเขียวแล้ว รวมถึงผู้บริหาร สปสช. หลายท่านก็พร้อมเปิดใจ มีแนวโน้มจะตั้งคณะทำงานร่วมอย่างเป็นทางการ เพื่อแก้ปัญหางบประมาณ การจัดสรรกองทุน และแนวทางส่งต่อแบบใหม่”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
‘นพรัตน์โมเดล’ ทางออกเชิงระบบ แบ่งรายหัว–ไม่ต้องจ่ายซ้ำ
โมเดลใหม่นี้จะปรับระบบงบประมาณแบบ แบ่งรายหัว โดยคลินิกและโรงพยาบาลได้รับจัดสรรงบตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
“จากเงินรายหัว 130 บาท คลินิกจะได้ส่วนแบ่งประมาณ 70 บาท ส่วนโรงพยาบาลได้รับราว 60 บาท เพื่อดูแลผู้ป่วยในภาพรวม ซึ่งหมายความว่าคลินิกไม่ต้องตามจ่ายค่าส่งต่ออีก และระบบใบส่งตัวจะยกเลิกทั้งหมด”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
ภายใต้ระบบใหม่นี้ การคัดกรองผู้ป่วยยังคงทำที่คลินิกเหมือนเดิม แต่จะใช้ฐานข้อมูลออนไลน์เชื่อมโยงกับโรงพยาบาล เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเห็นประวัติการรักษาและตัดสินใจร่วมกัน
“ถ้าผู้ป่วยต้องผ่าต้อกระจก หรือเข้ารับการรักษาเฉพาะทาง ระบบจะนัดหมายออนไลน์ให้เลย ไม่ต้องรอคิวแบบเดิม และโรงพยาบาลจะเป็นผู้ประสานต่อไปจนถึงการรักษา”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
เป้าหมายต่อไป : ขยายทั่วกรุงเทพฯ – ลดภาระโรงเรียนแพทย์
ศรินทร ยังบอกว่า หาก นพรัตน์โมเดล ประสบผลสำเร็จ จะสามารถขยายไปทั้ง 20 โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพฯ ภายในปี 2569
“ตอนนี้นพรัตน์รับผิดชอบประชากร 10% ของกรุงเทพฯ ถ้าอีก 19 โรงพยาบาลร่วมมือกันแบ่งพื้นที่ดูแลครบ 100% เราจะลดภาระโรงเรียนแพทย์ลงได้มาก และโรงเรียนแพทย์จะได้ทำหน้าที่เฉพาะทางขั้นสูงเท่านั้น”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
เธอยังเชื่อว่าปี 2569 จะเป็น ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน ของระบบบัตรทองในกรุงเทพฯ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงใจ
“ไม่ต้องปฏิรูปใหญ่ ไม่ต้องโทษกันไปมา แค่เปิดใจ คุยกัน และแก้ปัญหาไปทีละขั้น ทำไปแก้ไป มันสำเร็จได้แน่นอน”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์
อย่ากลัวว่าปฐมภูมิจะหมดความสำคัญ
เมื่อถูกถามถึงความกังวลของบางฝ่ายใน สปสช. ที่เห็นว่าการกระจายอำนาจให้โรงพยาบาลบริหารพื้นที่อาจทำให้ หน่วยปฐมภูมิถูกลดบทบาท หรือไม่นั้น ศรินทร ตอบชัดว่า สิ่งที่เราทำคือการเสริมความเข้มแข็งให้ปฐมภูมิ ไม่ใช่ลดความสำคัญ คลินิกยังเป็นด่านหน้าเหมือนเดิม เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม และไม่ถูกทิ้งให้รับภาระทางการเงินลำพัง
พร้อมเชื่อมั่นว่า หาก สปสช. กระทรวงสาธารณสุข และคลินิกเอกชนเปิดใจร่วมกัน ปัญหาที่เรื้อรังมากว่าสิบปีจะได้รับการคลี่คลาย
“ปี 69 จะเป็นปีแห่งความสำเร็จ ถ้าเราช่วยกันจริง ๆ คลินิก โรงพยาบาล และ สปสช. เดินไปด้วยกัน ระบบหลักประกันสุขภาพก็จะยั่งยืน ไม่ต้องใช้คำว่าปฏิรูปอีกต่อไป”
ศรินทร สนธิศิริกฤตย์