ถอดบทเรียนแคนาดาเสรีกัญชา 17 ปี ยอดใช้พุ่ง 25% ของประชากร ขอบำบัดเกือบแสน ชี้ ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ของ อย. ช่องโหว่เพียบ จากการแพทย์สู่สันทนาการ จุฬาฯ เปิดตัวเลขปี 64 วัยรุ่นไทยใช้กัญชา 1.89 ล้านคน ค้ากัญชาเพิ่ม 450%
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2565 มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ร่วมกับ ศูนย์การติดยาเสพติดและ สุขภาพจิต ประเทศแคนาดา (Center for Addiction and Mental Health : CAMH) จัดงานเสวนาโต๊ะกลม “ร่วมมองบทเรียนจากแคนาดา สู่กลไกและมาตรการที่ต้องมีในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง”
นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธาน มสช. เห็นว่าการปลดล็อกกัญชาเป็นเรื่องไม่ง่าย มีความซับซ้อนหลายแง่มุม จึงควรศึกษาให้ถ่องแท้ โดยเฉพาะในประเด็นที่ไม่พึงประสงค์ ผลกระทบทางลบ มาตรการมาควบคุมดูแล ซึ่งการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับบทเรียนจากแคนาดา กรณีนโยบายกัญชาทางการแพทย์และกัญชาเพื่อความบันเทิง จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ และนำไปสู่กลไกและมาตรการที่ต้องมีในร่างกฎหมาย
ถอดบทเรียนกัญชาเสรีแคนาดา
ศ.เจอเกน เรห์ม (Prof.Dr.Jurgen Rehm) จาก CAMH กล่าวถึงบทเรียนของประเทศแคนาดา ที่เปลี่ยนผ่านนโยบายกัญชาทางการแพทย์ไปสู่กัญชาเพื่อความบันเทิงว่า แคนาดามีประสบการณ์กัญชาทางการแพทย์มาอย่างยาวนานถึง 17 ปี ก่อนจะเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศรายได้สูงที่ปลดล็อกให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการได้
เขาบอกอีกว่าการใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ในประเทศ ได้กำหนดใช้กับโรคหรืออาการที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ว่าใช้กัญชาแล้วได้ผล เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กัญชาที่จะทำให้โรคหรืออาการเหล่านั้นแย่ลงไปอีก
ส่วนกรณีอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการ รัฐบาลใช้กรอบแนวคิดทางด้านสาธารณสุขมาควบคุมการใช้กัญชาในทางที่ผิด มากกว่าที่จะปล่อยให้ใช้กัญชาได้อย่างอิสระเสรี แม้มีความเชื่อว่าการปลดให้ใช้กัญชาเสรีได้อย่างถูกกฎหมาย จะช่วยให้รัฐสามารถควบคุมระดับ THC ในผลิตภัณฑ์กัญชาต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยให้สามารถบังคับใช้มาตรการควบคุมอายุขั้นต่ำของผู้ที่สามารถซื้อกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายได้ดียิ่งขึ้นก็ตาม นั่นเพราะแคนาดามีประชาชนใช้กัญชาทั้งทางการแพทย์และเสพติดอยู่ราว 4 แสนคน จากประชากร 35 ล้านคน โดยเปอร์เซ็นต์ประชาชนที่ใช้กัญชาเพิ่มมากขึ้นทุกปี ปัจจุบันคิดเป็น 25% ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้จะมีผู้ขอเข้ารับการบำบัดปีละ 75,000 – 100,000 คน กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องสูญเสีย นอกจากนี้ปัญหาจากกัญชาไม่ใช่แค่ป่วย แต่คือการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และการอุบัติเหตุ
“รัฐจะต้องกำหนดมาตรการที่สามารถลดความเสี่ยงการใช้กัญชาในทางที่ผิดในกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน และต้องบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้อย่างจริงจัง ซึ่งอย่างน้อย มาตรการควบคุมควรจะต้องครอบคลุมมาตรการตรวจหาสาร THC ในผลิตภัณฑ์ผสมกัญชาต่าง ๆ และการตรวจบัตรแสดงอายุของผู้ซื้อ”
ศ.เจอเกน เรห์ม
เปิดช่องโหว่ ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ของ อย.
ขณะที่ นพ.บัณฑิต ศรไพศาล เครือข่ายนักวิชาการด้านการเฝ้าระวังด้านนโยบาย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มสช. ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อวิเคราะห์สาระสำคัญในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ฉบับประชาพิจารณ์โดย อย. เปรียบเทียบกับมาตรการในประเทศแคนาดาที่นับเป็นประเทศที่ 2 ที่อนุญาต ให้สูบได้แบบถูกกฎหมาย แต่ยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดนั้น พบว่ามีความหละหลวม ละเลย ในหลายจุด เช่น
- ไม่มีข้อจำกัดในการครอบครอง ขณะที่แคนาดาให้ครอบครองกัญชาแห้งได้ไม่เกิน 30 กรัมต่อคน
- ส่วนการปลูกต้นกัญชาไว้ใช้ในครัวเรือนนั้น อนุญาตให้ปลูกได้บ้านละ 4 ต้น และต้องมีระบบติดตามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเขตบ้านที่ปลูกกัญชา และต้องปลูกในบริเวณที่ไม่เห็นจากบริเวณพื้นที่สาธารณะ เช่น ถนนหรือสวนสาธารณะ แต่ในร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ของไทยโดย อย. ไม่มีระบุไว้ แม้แต่ระดับสาร THC ก็ไม่มีระบุไว้ และอ้างว่าจะไประบุในกฎหมายลูก แต่ที่แคนาดาเรื่องเหล่านี้จะระบุในกฎหมายหลัก
- เรื่องการโฆษณา ในแคนาดาการโฆษณาเกี่ยวกับกัญชาต้องได้รับอนุญาต และห้ามใช้ดารา การ์ตูน หรืออะไรที่ดึงดูดความสนใจของเด็กและเยาวชนให้มาทดลอง แต่ของไทยกลับเขียนระบุไว้กว้าง ๆ ว่าถ้าต้องการโฆษณากัญชาต้องขออนุญาต ยกเว้นการโฆษณาชิ้นส่วนของกัญชาที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขยกเว้นให้
“มองว่าเป็นร่างกฎหมายที่ประหลาด เขียนเอื้อให้กำหนดความเข้มข้นทีหลัง ทั้งที่ควรตั้งค่าความเข้มข้นในระดับมาตรฐานไว้ก่อน ในแคนาดายังมีการทำแสตมป์เก็บภาษีกัญชาหากปลูกเชิงเศรษฐกิจเพื่อเอารายได้เข้ารัฐ และยังเป็นการควบคุมไม่ให้มีบริโภคกัญชามากเกินไปในอีกทางหนึ่ง เป็นต้น”
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล
ตั้งข้อสังเกต กัญชาทางการแพทย์ ปูทางสู่สันทนาการ ?
เครือข่ายนักวิชาการด้านการเฝ้าระวังด้านนโยบาย ยังตั้งข้อสังเกตถึงการเปิดเสรีกัญชาของประเทศไทย ที่ถูกปูมาให้เข้าใจว่าเป็นกัญชาทางการแพทย์มาตลอด แต่วันนี้เริ่มพิสูจน์ให้เห็นชัดว่าทิศทางกัญชาไทยมุ่งเน้นผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงโอกาสที่จะมีการใช้กัญชาในเชิงนันทนาการด้วย และการปลดชื่อกัญชา กัญชง ออกจากชื่อยาเสพติด ให้โทษประเภทที่ 5 เหลือเพียงสารสกัดที่ได้จากพืชกัญชา กัญชง ที่มีปริมาณสาร THC เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก ให้ถือเป็นยาเสพติดให้โทษ ข้อกำหนดตรงนี้ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง และส่งผลให้เกิดการใช้ในทางที่ผิดจำนวนมาก
หากต้องการส่งเสริมการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ควรปลดล็อกแค่สารสกัดที่ได้จากพืชกัญชา กัญชง ที่มีปริมาณสาร THC ต่ำกว่า 0.2% โดยน้ำหนัก ให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย นอกนั้นให้คงไว้ว่าเป็นยาเสพติด เพราะความจริงแล้วคนที่ติดกัญชานั้นติดสาร THC ที่มีอยู่มากในช่อดอก มาตรการควบคุมไม่ให้ประชาชนและเยาวชนเก็บช่อดอกมาเสพกรณีปลูกใช้ในครัวเรือน ในทางปฏิบัติจริงก็เป็นไปได้ยาก แม้แต่การตรวจว่ากัญชา ผลิตภัณฑ์จากกัญชา หรือที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม มีค่า THC เกิน 0.2% โดยน้ำหนักหรือไม่ก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน เพราะต้องส่งแล็บตรวจทั้งหมด
“ที่เรามานั่งเสวนากันในวันนี้ เราไม่ได้มาคัดค้านกัญชาทางการแพทย์ แต่เราไม่เห็นด้วยหากจะมาพูดกันแค่ในด้านประโยชน์กัญชาทั้งในแง่การรักษาและเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้บอกถึงข้อเสียที่มีให้ประชาชนรับทราบ อย่างตรงไปตรงมาขณะที่มาตรการควบคุมก็หละหลวม และหากปล่อยตามกระแสจะเกิดความเสียหายในอนาคตมาก”
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล
ด้าน ตัวแทนจาก มสช. มองว่าการส่งเสริมกัญชาทางการแพทย์ไม่จำเป็นต้องเปิดเสรีกัญชา อย่าเอาต้นทุนอนาคตของสังคมมาขายเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้น ดังนั้น คนกลุ่มใหญ่อย่างพ่อแม่ที่มีลูกเติบโต ในบรรยากาศที่กัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เขามีสิทธิ์ที่จะปกป้องลูกหลานของตนเอง ซึ่งเสียงตรงนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราไม่ควรเร่งรัดออกกฎหมายกัญชา ควรจะชะลอไปก่อน เพื่อหาทางร่วมที่เป็นทางสายกลาง เพื่อให้สังคมได้ประโยชน์มากที่สุดโดยมีการเตรียมพร้อมทางสังคมและออกแบบวิธีป้องกันโทษภัยให้มาก ที่สุด
แพทยสภาค้านใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ
ศ.นพ.วินัย วนานุกูล กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า ควรมีจุดยืนต่อนโยบายกัญชา และร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ดังนี้
- ไม่สนับสนุนการใช้สารกัญชาเพื่อการสันทนาการ (Recreation Purpose)
- สนับสนุนให้มีการศึกษาประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์ทั้งในแผนไทยและแผนปัจจุบัน แต่ควรเป็นการศึกษาในรูปแบบที่สังคมโดยทั่วไปและสากลยอมรับ
- บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นผลกระทบในทางลบจากกัญชา ควรได้รับการปกป้อง อาทิ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยทางด้านจิตเวช
ในส่วนของมาตรการบรรเทาผลกระทบ ก็ควรเน้นไปในประเด็น ดังนี้
- ปกป้องประชาชนกลุ่มเสี่ยง
- ให้การข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนและสังคม
- การควบคุมโฆษณาเนื้อหาของการประชาสัมพันธ์
- เฝ้าระวังติดตามผลกระทบในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้สถิติตัวเลขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สธ. คมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ รวมถึงโครงการวิจัย
ปี 2562 รัฐควัก 300 ล้านจ่ายค่าบำบัดผู้ติดกัญชา
พล.ต. นพ.พิชัย แสงชาญชัย ประธานชมรมจิตเวชศาสตร์การเสพติดแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การใช้กัญชาในฐานะยาเสพติดในประเทศไทยว่า กัญชาเป็นสารเสพติด พอเสพติดแล้วก็เลิกยาก เวลาเมาสารก็ทำให้เกิดอาการทางจิตได้ มีข้อมูลทางวิชาการชัดเจนว่าสัมพันธ์กับการเกิดโรคจิต โรคซึมเศร้า และการฆ่าตัวตาย นอกจากนี้กัญชายังมีผลต่อการพัฒนาการทางสมองของเด็ก และวัยรุ่น ทำให้สติปัญญา สมาธิ ความจำแย่ลง รวมถึงการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การกระตือรือล้น การคิด ตัดสินใจ การยับยั้งช่างใจ ผลการเรียนก็จะแย่กว่าเด็กที่ไม่สูบ ถ้าปลดล็อกและอนุญาตให้ใช้กัญชาได้ถูกกฎหมาย ก็จะทำให้การเสพกัญชาเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีคนติดมากขึ้น ส่งผลให้คนเป็นโรคจิตโรคซึมเศร้ามากขึ้น
ขณะที่ ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาผู้ป่วยจิตเวชจากกัญชาในโรงพยาบาลของรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาทต่อคน ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการรักษา แต่ก็มีไม่น้อยที่กลับมารักษาซ้ำ และข้อมูลจาก ป.ป.ส. พบว่าในปี 2562 มีผู้เสพผู้ใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงในประเทศไทยราว 1.7 ล้านคน ในจำนวนนี้มีคนที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ 150,000 คน และ 10% ของคนที่ใช้สม่ำเสมอ หรือ 15,000 คนต้องการเข้ารับการบำบัด เท่ากับรัฐเสียค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขถึง 300 ล้านบาท จึงมีคำถามว่าระบบสาธารณสุขของไทยรองรับได้แค่ไหน ถ้าอนาคตปลดล็อกมีการเสพการใช้มากขึ้นตัวเลขก็จะยิ่งมากขึ้น แล้วเราดูแลเขาได้มั้ย
ข้อมูลจาก รายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2564 มีการจับกุมคดียาเสพติดทั้งหมด 337,186 คดี ผู้ต้องหาทั้งหมด 350,758 คน พบของกลางที่เป็นกัญชา 41,573 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2563 ที่ของกลางกัญชาอยู่ที่ 9,227 กิโลกรัม เท่ากับเพิ่มขึ้น 32,346 กิโลกรัม หรือร้อยละ 450.5%
ขณะที่ช่องทางการค้าขายยาเสพติดในปี 2564 นอกจากการค้ายาเสพติดแบบทั่วไปแล้ว ยังพบว่ามีการใช้ช่องทางออนไลน์ทั้ง Line Twitter Facebook Instagram ฯลฯ โดยเฉพาะช่องทาง Twitter ได้รับความนิยมสุงสุด ควบคู่กับการส่งยาเสพติดทางพัสดุไปรษณีย์ในการกระจายยาเสพติดไปสู่กลุ่มผู้เสพมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนที่ซื้อขายยาเสพติดเกือบทุกชนิดอย่างแพร่หลาย มีการแจ้งราคาขายชัดเจน มีช่องทางการส่งให้เลือกหลากหลาย เช่น นัดรับส่งผ่านไปรษณีย์ทั้งของรัฐและเอกชน ยิ่งปัจจุบันธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทยขยายตัวมากขึ้น ทำให้การขนส่งสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
วัยรุ่นไทยใช้กัญชา 1.89 ล้านคน
รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติด (ศศก.) ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในเรื่องของกัญชา ทางศูนย์มีตัวเลขปี 2564 พบคนไทยอายุ 18-25 ปี มีการใช้กัญชาที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ประมาณ 1.89 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.3% ถือว่าสูงมากเพราะถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีก่อนตัวเลขยังไม่สูงขนาดนี้ และหากเทียบกับปี 2563 ก็พบว่าเพิ่มขึ้นมาถึง 2 เท่า ก็เข้าใจได้ว่าเพราะปีที่ผ่านมามีการเปิดให้ใช้บางส่วนของกัญชา ทำให้ประชาชน เห็นว่าการที่ร้านค้าขายกัญชาเป็นเรื่องปกติ
ขณะที่ตัวผลิตภัณฑ์ รศ.พญ.รัศมน ระบุว่าปัจจุบันมีการทำให้น่าใช้ดูไม่มีอันตราย จากเดิม ภาพลักษณ์กัญชาคือเป็นบ้อง และเมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ก็มีบางส่วนที่ค่า THC เกิดมาตรฐานที่ สธ. กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งเมื่อเจอแล้วเราก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องแจ้งใคร ที่ไหนอย่างไร จึงอยากให้สังคมและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเริ่มหันมาตระหนัก ที่สำคัญชุมชนควรเข้ามาช่วยดูแล เพราะร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ เขียนอนุญาตให้มีเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม จะกลายเป็นการเอื้อให้เกิดการผูกขาดอะไรก็ได้ และสุดท้ายอาจกลายเป็นเอกชนรายใหญ่ที่เข้ามาฮุบวิสาหกิจชุมชน
ทั้งนี้ ที่ประชุมเสวนาโต๊ะกลมจะนำข้อสรุปที่ได้จัดทำเป็นข้อเสนอ และเสนอไปสู่คณะรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ของ สธ. อย่างเป็นทางการต่อไป