หวัง นายก อบจ.เชียงใหม่ ใส่ใจวิกฤตสุขภาพจิต หลังพบสถิติ ‘ฆ่าตัวตาย’ อันดับ 1 ของประเทศ 

เผยสถิติผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในเชียงใหม่ พุ่งสูงถึงปีละ 250 คน อีกกว่า 600 คน พยายามแต่ไม่สำเร็จ กรรมการมูลนิธิสุขภาพจิต รพ.สวนปรุง เรียกร้องผู้สมัคร อบจ. ให้ความสำคัญนโยบายสุขภาพจิต ย้ำจำเป็นต้องเพิ่มงบฯ ช่วยเหลือ พร้อมสร้างระบบดูแลผู้ป่วยในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

จากรายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปีงบประมาณ 2566 โดยกรมสุขภาพจิต พบว่า 5 จังหวัดที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงสุด ได้แก่

  1. เชียงใหม่ : 15.33 ต่อแสนประชากร

  2. น่าน : 15.21 ต่อแสนประชากร

  3. แม่ฮ่องสอน : 14.06 ต่อแสนประชากร

  4. เชียงราย : 13.9 ต่อแสนประชากร

  5. ตาก : 13.0 ต่อแสนประชากร 

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ศ.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักส่งเสริมสุขภาพจิตและรณรงค์ป้องกันการฆ่าตัวตาย กรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิต โรงพยาบาลสวนปรุง เปิดเผยกับ The Active ว่า สถิติการฆ่าตัวตายใน จ.เชียงใหม่ เป็นอันดับ 1 หรือ 2 ของประเทศมาโดยตลอด ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 250 คน และมีผู้พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จอีกประมาณ 600 คน ซึ่งเป็นสถิติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จึงจำเป็นต้องมีการรณรงค์และให้ความช่วยเหลือกันอย่างจริงจัง

ศ.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักส่งเสริมสุขภาพจิตและรณรงค์ป้องกันการฆ่าตัวตาย กรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิต รพ.สวนปรุง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิสุขภาพจิต โรงพยาบาลสวนปรุง ได้รับงบประมาณหลายแสนบาทเพื่อช่วยเหลือ จ.เชียงใหม่ เนื่องจากปัญหานี้มีความสำคัญ แต่จังหวัดยังขาดแคลนงบประมาณ เมื่อเทียบกับความรุนแรงของปัญหา

เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้ จ.เชียงใหม่ มีสถิติการฆ่าตัวตายสูง วุฒิพงษ์ ยอมรับว่า การวิเคราะห์สาเหตุเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละจังหวัดเคยมีสถิติสูงสลับกันไปในแต่ละปี สิ่งสำคัญคือการให้ความสำคัญและการลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยสาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายมีอยู่ 3 ปัจจัย คือ

  1. ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนได้

  2. ปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ความยากจนหรือถูกโกงจนขาดรายได้

  3. ปัญหาความสัมพันธ์ เช่น ความขัดแย้งในครอบครัวหรือคู่รัก

ดังนั้น การจะฟันธงว่าเชียงใหม่มีสถิติสูงเพราะสาเหตุใดจึงทำได้ยาก สิ่งที่ควรทำคือมุ่งเน้นการพัฒนาเครื่องมือที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใส่ใจสัญญาณเตือน ก่อนผู้ป่วยเลือกจบชีวิต

ศ.วุฒิพงษ์ บอกด้วยว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายใน จ.เชียงใหม่ มักไม่ได้รับการพูดถึงหรือถูกละเลยในเชิงนโยบาย แม้จะเป็นเรื่องที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อชุมชนและประเทศอย่างมาก มนุษย์ทุกคนมีคุณค่า ไม่ว่าการเสียชีวิตจะเกิดจากโรคหรือวิธีการใดก็ตาม 

“เรากำลังสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าไป คนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จนั้นมีอยู่ในทุกวิชาชีพ ทุกสถานภาพทางสังคม และทุกเพศทุกวัย ซึ่งการสูญเสียคนหนึ่งคนเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่”

ศ.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ยกตัวอย่างในอดีต เช่น อดีตผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เคยยิงตัวตายในจวนผู้ว่าฯ หรือแม้กระทั่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายไม่เกี่ยวข้องกับเพศ วัย หรืออาชีพ แต่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตที่เสื่อมโทรม โดยเฉพาะในด้านของความคิดและสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมยังไม่ตระหนักเพียงพอ

“ดังนั้นเมื่อมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ต้องเข้าใจว่าเรากำลังป่วย ไม่ใช่อ่อนแอ แต่ป่วยทางจิตใจและสมอง เช่นเดียวกับที่เรารู้ว่าอาการปวดท้องด้านขวาอาจเป็นไส้ติ่ง เมื่อเรารู้สึกอยากตาย เราต้องตระหนักว่าควรไปพบแพทย์ ไม่ใช่หาวิธีจบชีวิตตัวเอง

ศ.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ทั้งนี้ใน จ.เชียงใหม่ สาเหตุที่ตัวเลขการฆ่าตัวตายพุ่งสูงอาจมาจากการรณรงค์ที่ยังไม่เพียงพอ หรือการเข้าถึงการรักษาที่ยากลำบาก จากประสบการณ์ของ วุฒิพงศ์ พบว่า การรณรงค์ยังไม่มากพอจริง และสื่อต่าง ๆ ก็ไม่ได้นำเสนอเรื่องนี้อย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนต่อการฆ่าตัวตาย ต้องสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจว่าการมีความคิดฆ่าตัวตายคือการป่วย ไม่ใช่ความอ่อนแอ และสามารถรักษาได้ ต้องรีบเข้าสู่กระบวนการรักษา และด้วยยาและการรักษาในปัจจุบัน สามารถช่วยให้ผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นได้

“การสร้างความเข้าใจและเข้าถึงประชาชนเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างเพียงพอ และยังมีคนที่เข้าไม่ถึงการช่วยเหลือและการรักษา”

ศ.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ยกบทบาท อสม. ป้องกัน ดูแล ลดเสี่ยง ‘ฆ่าตัวตาย’ ตั้งแต่ระดับชุมชน

เมื่อถามว่า ระบบสาธารณสุขของเชียงใหม่มีความพร้อมเพียงพอหรือไม่ ที่จะรองรับการดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ วุฒิพงษ์ ระบุว่า จากที่ได้ทราบมา ระบบสาธารณสุขในเชียงใหม่มีการจัดการที่ดี มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในทุกตำบล และมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการดูแลสุขภาพของชุมชน

อสม.ในบางอำเภอมีจำนวนมากกว่า 1,000 คน ยกตัวอย่างเช่น อ.แม่วาง ที่มีแผนจะเชิญ อสม.เกือบ 1,000 คนมาอบรมในเดือนมีนาคม นี้ การให้ความรู้และการตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น การที่ อสม.มีบทบาทสำคัญในชุมชน จะต้องมาพร้อมกับความรู้และความใส่ใจในเรื่องการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการฆ่าตัวตาย ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลเชิงรุกหรือ “Proactive Care”

โดยการดูแลเชิงรุกนี้ต้องประกอบด้วยแนวคิดหลัก 3 ประการ คือ

  1. เข้าใจ : ต้องเข้าใจว่าผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายกำลังป่วย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การที่เขาแสดงออกมาไม่ได้เป็นการเรียกร้องความสนใจ แต่เป็นการขอความช่วยเหลือ

  2. ใส่ใจ : ใส่ใจในสัญญาณเตือนที่ผู้ป่วยสื่อสารออกมา เช่น การสั่งเสีย, การฝากฝัง, การพูดสั่งลา ซึ่งต้องเชื่อว่าเขามีความตั้งใจจริงที่จะกระทำตามที่กล่าวไว้

  3. ฉับไว : เมื่อรับรู้สัญญาณเตือนแล้วต้องรีบช่วยเหลืออย่างฉับไว เปรียบเสมือนการช่วยชีวิตญาติที่ถูกงูพิษกัด การช่วยเหลือต้องไม่ล่าช้า เพราะความล่าช้าอาจนำไปสู่ความสูญเสียได้

“ในประสบการณ์กว่า 40 ปี พบว่า การช่วยเหลือที่ไม่ทันเวลาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยไม่รอดชีวิต ดังนั้นการเข้าใจสัญญาณเตือนและการตอบสนองอย่างรวดเร็วมีความสำคัญยิ่งต่อการป้องกันการสูญเสียชีวิต ทั้งนี้ ยาและการรักษาในปัจจุบันมีความก้าวหน้ามาก ซึ่งถ้าได้รับการช่วยเหลือทันเวลา จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ในทุกกรณี”

ศ.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ทั้งนี้หนึ่งในหลักการสำคัญคือการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงในชุมชน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนด้านปรากฏการณ์ เช่น ผู้ป่วยจิตเวช, คนติดสารเสพติด, ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่มีปัญหาครอบครัว รวมถึงหญิงหลังคลอดที่มักมีภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจนำไปสู่ความคิดฆ่าตัวตาย

ดังนั้นการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต้องอาศัย อสม.ในชุมชนโดยให้พวกเขาเยี่ยมเยียนกลุ่มเสี่ยงสัปดาห์ละครั้ง เพื่อพูดคุยและสังเกตอาการ โดยอสม.แต่ละคนจะดูแล 10 – 15 หลังคาเรือน และสร้างกลุ่มสนับสนุนเพื่อพูดคุยทักทายทุกวัน ทำให้สามารถช่วยเหลือผู้ที่กำลังมีปัญหาชีวิตได้อย่างทันเวลา พร้อมทั้งการให้คำปรึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพบแพทย์ การบอกถึงอาการที่ควรรายงาน และเน้นให้ผู้ป่วยรับรู้ว่าอาการเหล่านี้เป็นความเจ็บป่วยที่ควรได้รับการรักษา

เรียกร้องผู้สมัคร นายก อบจ. ให้ความสำคัญ ‘นโยบายสุขภาพจิต’

สำหรับในช่วงเวลาที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง นายก อบจ. เชียงใหม่นั้น ศ.วุฒิพงษ์ มองว่า ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างสูง เพราะในปัจจุบันความสนใจส่วนใหญ่เน้นไปที่ปัญหายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้เสพสารเสพติดทุกคนล้วนมีปัญหาสุขภาพจิตเป็นพื้นฐาน เมื่อเสพสารเสพติดเพิ่มเข้าไป ปัญหาสุขภาพจิตก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย หรือการทำร้ายผู้อื่นได้ ดังนั้น ผู้ป่วยสารเสพติดและผู้ป่วยสุขภาพจิตคือกลุ่มเดียวกัน และงบประมาณที่ใช้ควรจัดสรรเพื่อดูแลทั้ง 2 ด้านควบคู่กัน

“การเลือกตั้ง อบจ.ที่กำลังจะมาถึงนี้ ควรเน้นย้ำให้ประชาชนเลือกบุคคล หรือพรรคที่มีนโยบายส่งเสริมและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต เพราะจากที่ฟังมา ยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย ดังนั้น ผู้สมัครควรปรับตัว และเน้นย้ำถึงความสำคัญของสุขภาพจิตในแคมเปญของตนเอง”

ศ.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

กรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิต โรงพยาบาลสวนปรุง ยังแนะนำว่า งบประมาณด้านสุขภาพควรครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต เพราะทั้ง 2 ส่วนนี้ เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายการสาธารณสุขของ อบจ. ควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับความรุนแรงของปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ งบประมาณด้านยาเสพติดควรพิจารณารวมกับปัญหาสุขภาพจิต เพราะทั้ง 2 ปัญหานี้เกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น

ในส่วนของการดำเนินการหาก อบจ.ต้องการลงลึกไปถึงระดับชุมชน ก็ควรสนับสนุนให้ รพ.สต.และผู้นำชุมชนเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจในการจัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดย อบจ.สามารถเชิญ รพ.สต.ทุกแห่งมาอบรมเป็นรุ่น ๆ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งจังหวัด เมื่อทุกคนมีความรู้และเข้าใจในปัญหานี้แล้ว จะสามารถดำเนินการช่วยเหลือและลดสถิติการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active