เครือข่ายผู้ป่วยมะเร็ง-โรคไต ยื่นหนังสือร้อง สปสช. เหตุนโยบาย ‘บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่’ ใช้ไม่ได้จริง ยังต้องใช้ใบส่งตัว เสียเวลารอนาน 10-15 วัน ด้าน สปสช. รับเร่งแก้ไขระบบให้คล่องตัว พร้อมย้ำคลินิกห้ามจำกัดสิทธิ์ออกใบส่งตัว
วันนี้ (10 ก.พ. 68) ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ธนพลธ์ ดอกแก้ว ประธานเครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) และตัวแทนเครือข่ายผู้ป่วย ได้แก่ เครือข่ายผู้ป่วยมะเร็ง อาร์ตฟอร์ แคนเซอร์ บาย ไอรีล, ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย, สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย และเครือข่ายผู้ป่วยเอชไอวี ยื่นหนังสือ “กรณีผลกระทบของผู้ป่วยต่อนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ของผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง” ต่อ รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข และ นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

ธนพลธ์ บอกว่า ปัญหาที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่เป็นเรื่องของระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งนโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่” ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถใช้ได้จริง โดยปัญหาหลัก ๆ ที่พบ
- บัตรประชาชนใบเดียวใช้รักษาไม่ได้จริง แม้ว่าจะมีนโยบายให้สามารถใช้รักษาได้ทุกที่ แต่ในความเป็นจริง หน่วยบริการยังคงต้องใช้ “ใบส่งตัว” ก่อนถึงจะสามารถเข้ารับการรักษาได้
- ปัญหาเรื่องใบส่งตัว การขอใบส่งตัวเป็นเรื่องยุ่งยาก บางคนต้องเดินทางไปถึง 3 ครั้ง กว่าจะได้รับเอกสาร และกระบวนการนี้ใช้เวลานานถึง 10-15 วัน ซึ่งระหว่างนั้น ผู้ป่วยต้องเสียทั้งเงินค่าเดินทางและเวลา
- ความล่าช้าในการเข้าถึงยาและบริการทางการแพทย์ การต้องเดินเรื่องเอกสารหลายรอบทำให้เกิดความล่าช้า ส่งผลกระทบต่อการรักษา
- ความรู้สึกสิ้นหวังของผู้ป่วย ระบบที่ควรจะช่วยเหลือกลับกลายเป็นภาระ เมื่อมีนโยบายแต่ใช้งานจริงไม่ได้
ส่วนแนวทางที่เสนอ ไม่ใช่การยกเลิกใบส่งตัวโดยสิ้นเชิง แต่ควรมีการทบทวน และออกแบบระบบใหม่ร่วมกัน ต้องสร้างกลไกที่ช่วยลดภาระของผู้ป่วย เช่น การให้หน่วยบริการและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบระบบ และกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการรับการรักษา เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนระหว่างหน่วยบริการและประชาชน
ขณะที่กรณีมะเร็งรักษาทุกที่ แม้ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะประกาศกลับไปใช้ระบบเดิมในการรักษามะเร็ง แต่ก็ยังมีความกังวล เพราะที่ผ่านมานโยบายมักมีการเปลี่ยนแปลงไปมา ทำให้เกิดความสับสน แม้แต่หน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนก็ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร
เครือข่ายฯ จึงต้องการให้ เลขาธิการ สปสช. ทบทวนปัญหา และร่วมออกแบบระบบใหม่ เพื่อลดปัญหาการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาล ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หรือไม่มีผลกระทบเลย

เครือข่ายผู้ป่วย หวั่น มะเร็งรักษาไม่ทุกที่
ไอรีล ไตรสารศรี ผู้ก่อตั้ง Art of Cancer by ไอรีล ในฐานะรองประธานชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านม แห่งประเทศไทย บอกว่า ตอนนี้ยังเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 รักษามาประมาณ 13 ปีแล้ว ตอนแรกใช้สิทธิบัตรทอง (30 บาท) แต่พอโรคลุกลาม ยาที่ต้องใช้กลับไม่อยู่ในสิทธิ์ แต่ยังมีเพื่อนผู้ป่วยจำนวนมากที่ยังใช้สิทธิ์บัตรทอง ซึ่งก็ได้รับรู้ถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจออกมาเป็นตัวแทน เพื่อส่งเสียงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับรู้และแก้ไขปัญหา
ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวที่สร้างความสับสนและความกังวลในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะเกี่ยวกับโครงการ “Cancer Anywhere” ซึ่งเคยเป็นนโยบายที่ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวก แต่ปลายปีที่ผ่านมา บางโรงพยาบาลเริ่มแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 68 เป็นต้นไป ผู้ป่วยต้องใช้ใบส่งตัวทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าโครงการนี้กำลังจะถูกยกเลิกหรือไม่
กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นกลุ่มที่มี ความกังวลสูงและต้องการการรักษาที่ต่อเนื่อง รวดเร็ว และราบรื่น แต่เมื่อนโยบายมีการเปลี่ยนแปลงไปมา การสื่อสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง สปสช. และโรงพยาบาล ต้นสังกัด ก็ไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกันสิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้เกิดปัญหาและความเครียดเพิ่มขึ้น
“สิ่งที่เราต้องการ คือระบบที่ใช้งานได้จริง และช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ระบบที่สร้างปัญหาและความยุ่งยากให้กับคนไข้”
ไอรีล ไตรสารศรี

ขณะที่ สุพรรณิการ์ รื่นรส ผู้ป่วยโรคมะเร็ง เล่าว่า เธอป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ตั้งแต่ปี 2548 รักษามานานถึง 19 ปี โดยรักษาที่ รพ.รามาธิบดี มาตลอด ต่อมาในปี 2560 เป็นมะเร็งโพรงมดลูกอีก ก็ยังรักษาที่ รพ.รามาธิบดี จนถึงปี 2563
ตนใช้สิทธิ “Cancer Anywhere” มา 3 ปี (2564 – 2566) แต่พอถึงปี 2566 ในระยะติดตาม หรือ Follow Up กลับถูกแจ้งว่า ต้องใช้ใบส่งตัว จึงไปขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัด แต่เขาไม่ออกให้ ทั้ง ๆ ที่มีเอกสารแจ้งชัดเจนว่าต้องรักษาต่อที่รามาฯ สุดท้ายโรงพยาบาลก็ส่งพี่ไปที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ซึ่งที่นั่นแจ้งว่า ไม่มีนโยบายส่งตัวกลับไปที่เดิม
ปัญหาคือ เธอต้องเริ่มต้นรักษาใหม่ทั้งหมด ต้องไปขอเวชระเบียนที่รักษามานานถึง 20 ปี เพื่อนำข้อมูลมาให้โรงพยาบาลใหม่ลงระบบ ต้องตรวจใหม่ทุกอย่าง ตั้งแต่อัลตราซาวด์ไปจนถึง CT Scan
และระหว่างนั้น ยังเจอปัญหาด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่น ไส้เลื่อน ซึ่งต้องตรวจเพิ่มเติม แต่พอไปตรวจไต ก็เจอว่าค่าไตสูง ทำให้ต้องเจาะเลือดเพิ่ม ซึ่งโรงพยาบาลคิดค่าตรวจเอง 300 บาท
ขณะที่ ปัญหาเรื่องใบส่งตัวและความต่อเนื่องของการรักษานั้น คลินิกที่เคยออกใบส่งตัวให้ยกเลิกการส่งต่อไปโรงพยาบาลมงกุฎฯ ส่วนโรงพยาบาลที่รับรักษาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเดิมของผู้ป่วยได้ ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด และการขอใบส่งตัวเป็นอุปสรรคใหญ่ มีระยะเวลาใช้งานจำกัด และสร้างภาระค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าเดินทาง
“แม้รัฐมนตรีจะออกมาบอกว่า จะยกเลิกประกาศที่สร้างปัญหา แต่ในความเป็นจริง พี่ยังไม่มั่นใจว่านโยบายใหม่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่”
สุพรรณิการ์ รื่นรส
สุพรรณิการ์ ยังเสนอว่า ระบบการส่งต่อควรเป็นแบบไร้รอยต่อ, ควรใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการรักษาได้ทุกที่, โรงพยาบาลสามารถเข้าถึงประวัติการรักษาได้โดยอัตโนมัติ, การขอใบส่งตัวควรมีทางเลือกที่สะดวกขึ้น หากจำเป็นต้องใช้ใบส่งตัว ควรมีระบบออนไลน์ ไม่ต้องให้ผู้ป่วยเดินทางไปขอด้วยตนเอง จะลดภาระค่าใช้จ่ายจากการเดินทางและระยะเวลารอคอย
ทั้งนี้อยากให้ผู้กำหนดนโยบายเข้าใจผลกระทบที่ผู้ป่วยต้องเผชิญ การเปลี่ยนนโยบายที่ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยต้องเผชิญกับความล่าช้า ความเครียด และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ควรมีแนวทางที่คำนึงถึงผู้ป่วยจริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ในเชิงเอกสารหรือระเบียบราชการ
สปสช.แจงมะเร็งรักษาทุกที่กลับมาใช้ระบบเดิม
รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการ สปสช. บอกว่า กำลังเร่งแก้ไขเพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ซึ่งการปรับเปลี่ยนระบบจำเป็นต้องทำงานร่วมกับหน่วยบริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในประเด็นงบประมาณและกระบวนการเบิกจ่าย
ขณะนี้ สปสช. ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อ ปรับปรุงระบบการเบิกจ่ายให้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง และไม่เกิดปัญหาเรื่องเงินชดเชยล่าช้า โดยมีการประสานงานกับหน่วยบริการต่าง ๆ รวมถึงโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่มีผู้ป่วยมะเร็งใช้บริการจำนวนมาก ส่วนประเด็นปัญหา และแนวทางแก้ไข มีดังนี้
1. เรื่องใบส่งตัว
- หลังจากมีการประกาศให้ต้องใช้ใบส่งตัวตั้งแต่ 1 มกราคม ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยจำนวนมาก
- ขณะนี้มีมติ ยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว แล้ว ระบบจะกลับไปใช้แนวทางเดิมก่อนมีประกาศ
2. ปัญหาการเบิกจ่ายค่ารักษา
- หน่วยบริการมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ขั้นตอนการเบิกจ่ายค่ารักษาโรคมะเร็ง
- ทาง สปสช. ได้ดำเนินการปรับแก้ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กระบวนการเบิกจ่ายสะดวกขึ้น

รศ.ภญ.ยุพดี ยืนยันว่า สปสช. ไม่ได้นิ่งนอนใจ เข้าใจว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ และขอยืนยันว่า กำลังเร่งดำเนินการแก้ไข เพื่อให้ระบบกลับมาคล่องตัวเหมือนเดิม ผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการได้ตามปกติ
“อยากให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า ไม่มีการยกเลิกสิทธิรักษามะเร็ง ไม่มีการให้ผู้ป่วยร่วมจ่ายเพิ่ม การประกาศยกเลิกก่อนหน้านี้ เป็นการยกเลิกข้อกำหนดที่สร้างความสับสน ไม่ใช่การยกเลิกสิทธิการรักษา”
รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข
ย้ำ คลินิกห้ามจำกัดสิทธิ์การออกใบส่งตัว
ส่วน นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล รองเลขาธิการ สปสช. บอกว่า ผู้ป่วยเป็นมะเร็งสามารถเลือกไปรักษาที่ไหนก็ได้ที่สะดวกและมั่นใจ แต่ที่จำเป็นต้องขอใบส่งตัวจากหน่วยบริการต้นทาง ซึ่งในกรณีมะเร็ง ขณะนี้ได้จัดระบบให้หน่วยบริการต้นทางไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะเราจะเป็นผู้เคลียร์ให้ทั้งหมด
สำหรับประกาศเรื่องยกเลิกการใช้ใบส่งตัวตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 ได้ย้อนกลับไปใช้ระบบเดิมแล้ว เพื่อให้แนวทางการรักษาเป็นไปตามมาตรฐานปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อาจมีบางรายการยาใหม่ที่ต้องประกาศเพิ่มเติมภายหลัง
ในส่วนของโรคอื่น ๆ ยอมรับว่า อาจมีข้อขาดตกบกพร่องในการสื่อสารกับกลุ่มคลินิก ซึ่งตอนนี้ได้ส่งทีมเข้าไปพูดคุย และพบว่า หลายคลินิกเมื่อได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ก็ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม บางแห่งอาจมีความเข้าใจผิดจากข่าวสารที่คลาดเคลื่อน ซึ่งต้องช่วยกันสื่อสารให้ถูกต้อง
สำหรับระบบส่งตัวในอนาคต มีระบบเชื่อมข้อมูลออนไลน์อยู่แล้ว แต่ต้องขอความร่วมมือจากทุกคนให้ยอมเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์ ซึ่งจะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัยผ่านระบบของรัฐ และมีเพียงแพทย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้
“เรื่องงบประมาณเป็นอีกปัจจัยที่มีข้อจำกัด เพราะงบประมาณมีไม่ได้มากนัก ทำให้หน่วยบริการบางแห่งอาจมีความกังวลในการรับเคสเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากมีปัญหาใด ๆ สามารถแจ้งมายัง สปสช. ผ่านสายด่วน 1330 หรือแจ้งผ่านกลุ่มตัวแทนได้”
นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล
อย่างไรก็ตาม มีตัวแทนผู้ป่วย บอกว่า “ตอนนี้มีปัญหาว่าคลินิกบางแห่งในเครือปฏิเสธการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลตามสิทธิ์ และเลือกส่งไปยังโรงพยาบาลในเครือของตัวเองแทน ซึ่งอาจไม่ได้มีความชำนาญเฉพาะด้าน”
รองเลขาธิการ สปสช. ยังบอกอีกว่า สำหรับกรณีนี้ต้องยืนยันว่า การส่งตัวจะต้องเป็นไปตามระบบที่กำหนด หากโรงพยาบาลในเครืออยู่ในระยะที่เหมาะสมก็ไม่มีปัญหา แต่หากอยู่ไกลเกินไป ผู้ป่วยสามารถยืนยันขอใช้สิทธิ์ไปรับบริการที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ได้ หากหน่วยบริการต้นทางปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ถือว่าไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม บางกรณีที่โรงพยาบาล หรือคลินิกเสนอให้ผู้ป่วยไปยังเครือของตนเอง อาจมีเหตุผลที่เป็นประโยชน์ เช่น การไม่ต้องรอคิวนาน ซึ่งหากผู้ป่วยพึงพอใจก็สามารถเลือกได้ แต่หากไม่สะดวก ก็สามารถขอรับการส่งตัวไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ได้
อีกเรื่องที่ได้รับรายงานคือ มีกรณีที่ผู้ป่วยจากต่างจังหวัดถูกแนะนำให้ย้ายสิทธิ์เข้ามาในกรุงเทพฯ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว โรงพยาบาลในต่างจังหวัดสามารถส่งต่อเข้ามาได้เลยโดยไม่ต้องย้ายสิทธิ์ ระบบของ สปสช. รองรับการส่งต่อจากโรงพยาบาลต้นทางโดยตรง ดังนั้น หากท่านทราบกรณีแบบนี้ รบกวนช่วยสื่อสารกลับไปยังต้นทางว่าการส่งต่อสามารถทำได้โดยไม่ต้องย้ายสิทธิ์
ส่วนกรณีที่คลินิกบางแห่งกำหนดจำนวนใบส่งตัวต่อวัน เช่น อนุญาตให้เพียง 20 รายต่อวัน นโยบายของ สปสช. ไม่มีข้อจำกัดเช่นนั้น หากผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องได้รับการส่งต่อ คลินิกต้องอำนวยความสะดวก ไม่ใช่กำหนดตัวเลขตายตัว หากพบกรณีเช่นนี้ในพื้นที่ใด สามารถแจ้ง สปสช. ได้ทันที เราจะลงไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาให้
“ขอให้ทุกฝ่ายไว้ใจและให้ความร่วมมือกัน หากมีข้อสงสัยหรือปัญหาใด ๆ แจ้งมาได้โดยตรง เรายินดีรับฟังและดำเนินการแก้ไขครับ”
นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล


สำหรับจดหมายร้องเรียนจากเครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) ถึงเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เกี่ยวกับผลกระทบของผู้ป่วยจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัตรทองในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล มีสาระสำคัญดังนี้
- ปัญหาการเข้าถึงบริการ ผู้ป่วยที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง มีอุปสรรคจากการกระจายตัวของโรงพยาบาลและข้อจำกัดในการใช้สิทธินอกพื้นที่
- ข้อจำกัดของระบบบริการสุขภาพ มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพการรักษาพยาบาลและภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องรักษาต่อเนื่อง
- ข้อเรียกร้อง เครือข่ายฯ เสนอให้ สปสช. ทบทวนนโยบายและปรับปรุงระบบหลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะใน 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้สะดวก, ลดภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยต้องจ่ายเพิ่ม, เพิ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ, ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและประชาชนในการกำหนดนโยบาย
- ข้อเรียกร้องให้มีการหารือร่วมกัน เครือข่ายฯ ขอให้ สปสช. เปิดเวทีหารือกับผู้ป่วยและภาคประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน