แนะรัฐเพิ่มงบฯ ดึงนวัตกรรม แก้ปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล

ยอมรับ ข้อจำกัดบุคลากรทางการแพทย์ กระทบคุณภาพบริการ หลายฝ่าย เสนอ ใช้นวัตกรรมแก้ปัญหา พร้อมวางแผนกรอบนโยบายสุขภาพระดับท้องถิ่น ระดับชาติ

ข้อมูล กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี 2561 พบว่า โรงพยาบาลของรัฐมีจำนวนผู้ป่วยนอกถึง 71.83 ล้านคน และมีการตรวจรักษาผู้ป่วยรวมถึง 247.34 ล้านครั้ง ความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาลเหล่านี้ส่งผลให้เวลารอรับการรักษายาวนานหลายชั่วโมง และบุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนักเกินขีดความสามารถ และปัญหา

ในเวทีเสวนา “การให้ความรู้พื้นฐานทางด้านสาธารณสุขเชิงป้องกัน” หรือ “การรักษาโรคเพื่อลดภาวะเจ็บป่วยของประชาชน” อย่างไหนดีกว่ากัน ? จากหลักสูตรผู้นำเมืองรุ่น 10 โดยมีนักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมสะท้อนถึง ระบบการรักษาของโรงพยาบาลบางแห่ง โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่มีผู้ป่วยจำนวนมากเกินกว่าที่ระบบจะรองรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยพบว่า ปัจจุบันระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทย โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐ กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก หนึ่งในปัญหาสำคัญ คือ ภาวะคนไข้ล้นโรงพยาบาล (Hospital Overcrowding) ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพบริการ ประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ และความปลอดภัยของผู้ป่วยเอง สถานการณ์นี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมั่นและนิยมรับบริการจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ แม้ว่าหลายกรณีจะเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่สามารถรับบริการในระดับปฐมภูมิได้

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการเข้าสู่สังคมสูงวัย ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทรัพยากรด้านสาธารณสุข เช่น จำนวนบุคลากร เตียงผู้ป่วย และงบประมาณ ยังคงมีจำกัดและกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่

ทิติยา เส่งมูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้เคยมีประสบการณ์เข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐ ที่เคยสูญเสียลูกสาวระหว่างการรักษา มองว่า บางครั้งการที่มีผู้ป่วยมาก ก็ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนัก และอาจทำให้การรักษาและประเมินผลของโรคไม่เต็มที่ ซึ่งจริง ๆ แล้วการสร้างความตระหนักภาครัฐในเชิงป้องกันเป็นเรื่องสำคัญจะช่วยบรรเทาคนไข้ที่เข้ามารักษาจำนวนมาก และเหลือพื้นที่การรักษาให้ผู้ป่วยที่จำเป็นหับหมอที่มีไม่มาก อยากเสนอให้รัฐบาลลงทุนกับการป้อง ใช้งบประมาณที่คุ้มค่าและใช้เทคโนโลยี จะทำให้ระบบสาธารณสุขไทยดีขึ้น

ข้อจำกัด บุคลากรทางการแพทย์ – การรักษา

นพ.ไผท สิงห์คำ ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ที่ผ่านมาในมุมมองของแพทย์ในระบบสาธารณสุขระหว่างทำงาน หลายคนอยากให้เพิ่มบุคลากรให้เหมาะสมกับคุณภาพในการรักษาเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยทุกคน

ข้อมูลจาก สำนักนโยบายยุทธศาตร์ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข อ้างอิงจากบุคลากรทางการแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข 2561 พบว่า ประเทศไทยมีกำลังทางการแพทย์ กว่า 36,938 คน คิดเป็น 1 ต่อ 1,771 คน ถ้ารวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ แยกเป็นแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เภสัชกร รวมทั้งหมด กว่า 2.3 แสนคน คน โดยแบ่งเป็น

  • กทม. : แพทย์ 9,273 คน พยาบาลวิชาชีพ 33,240 คน พยาบาลเทคนิค 4,752
  • ภาคกลาง : แพทย์ 9,153 คน พยาบาลวิชาชีพ 39,438 คน พยาบาลเทคนิค 632 คน
  • ภาคเหนือ : แพทย์ 6,008 คน พยาบาลวิชาชีพ 27,690 คน พยาบาลเทคนิค 380 คน
  • ภาคอีสาน : แพทย์ 8,075 คน พยาบาลวิชาชีพ 41,185 คน พยาบาลเทคนิค 1,146 คน
  • ภาคใต้ : แพทย์ 4,429 คน พยาบาลวิชาชีพ 24,024 คน พยาบาลเทคนิค 347 คน

ขณะที่เตียงรองรับผู้ป่วยค้างคืนในโรงพยาบาลทั่วประเทศ 1,305 แห่ง มีทั้งสิ้น 149,641 เตียง

นพ.ไผท ย้ำว่า ถ้ามองทรัพยากรกับการรักษา ทำให้เห็นว่าไทยมีอยู่อย่างจำกัด ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้าไปรับการรักษา มีสัดส่วนรายวันประจำหมุนเวียนในระบบ แต่หากวันใดเกิดสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ในภาวะไม่ปกติ จะทำให้มีคนไข้เพิ่มขึ้นอีก เมื่อมีคนป่วยหนักเข้ารักษาอาจเสี่ยงสูญเสีย

ดังนั้นหากนโยบายการป้องกันและการรักษามีทิศทางที่ดี สิ่งแวดล้อมดี สุขภาพประชาชนดี จะทำให้ลดภาวะคนไข้ล้นโรงพยาบาล ลดงบประมาณ และบุคลากรก็จะได้มีกำลังมากพอต่อการรับมือผู้ป่วยได้ดีมากขึ้น และนโยบายนี้หากทำได้จะทำให้ทุกฝ่ายไม่ต้องวนเวียนอยู่กับการรักษาเพียงด้านเดียว

เสนอเพิ่มงบฯ ดึงใช้นวัตกรรม ลดผู้ป่วยในโรงพยาบาล

พรชัย มงคลวนิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยาม มองว่า หากจะลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ประเทศ ไทยอาจต้องเพิ่มงบประมาณ ทางเลือกในการใช้นวัตกรรม เข้ามาคัดกรองผู้ป่วย พร้อม ๆ กับการออกแบบนโยบายเพื่อป้องกันโรค ลดจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

“ประเด็นงบประมาณควรมี 2 ด้าน คือ ป้องกัน รักษา และการพัฒนานวัตกรรมที่ดี ความจริงเครื่องมือแพทย์หากผลิตได้ในประเทศก็จะทำให้ระบบสาธารณสุขไทยดี ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีมี หมอดีมี เครื่องมือมี และเราต้องทำให้มีประสิทธิภาพ การผลิตบุคลากรทางการแพทย์มีการพัฒนาคุณภาพไปด้วย”

พรชัย มงคลวนิช

ขณะที่ การบริหารจัดการ และการเชื่อมโยงข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีเข้าด้วยกันต้องทำให้ทั่วถึงรวดเร็ว จะช่วยลดขั้นตอนการรักษา ลดเวลา อย่างระบบคัดกรองผู้ป่วยอัตโนมัติ จะช่วยคัดกรองสาธารณสุขเบื้องบั้น เช่น ความดัน การเต้นของหัว และเรื่องการตรวจเลือดได้ด้วย ถ้ามีความจำเป็นคุยกับแพทย์ทางออนไลน์ได้ การที่ใช้เรื่องนี้มากขึ้น โรงพยาบาลก็จะมีพื้นที่มาก ให้กับผู้ที่เข้ามารักษาที่จำเป็น มากกกว่าก็จะไม่สูญเสียโอกาส ก็ลดเวลาการรอลง ส่วนคุณภาพการรักษา คือ บุคลากรทางการแพทย์ กับปริมาณคนที่รักษา ก็ต้องมองความสมดุลซึ่งกันและกันจะดีมากกว่า

แนะรัฐวางกรอบนโยบายสุขภาพระดับท้องถิ่น-ประเทศ

สอดคล้องกับ พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ ผู้ชำนาญการประจำตัวสมาชิกวุฒิสภา บอกว่า การป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจะช่วยระบบสาธารณสุขได้มากหลัก ๆ คือ การจัดการระดับบุคลและระดับนโยบาย รัฐบาลอาจต้องวางกรอบนโยบายด้านสุขภาพทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพราะมันมีผลต่อความเชื่อมโยงในการบริหารจัดการ

ยกตัวอย่าง สวน 15 นาที ของ กทม. เป็นเรื่องส่งเสริมสุขภาพได้ ในขณะเรื่องฝุ่น ที่เป็นประเด็นกระทบสุขภาพในภาพใหญ่ในเชิงนโยบาย ก็ต้องหาวิธีและแนวทางลดผลกระทบ จะได้ไม่ทำให้มีอัตราของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และลดภาระหมอ พยาบาลได้อีกทางหนึ่ง ส่วนข้อเสนอเชิงนโยบายหากอยากให้ มีพื้นที่ออกกำลังกาย อาจต้องร่วมมือกับภาคีเครือข่ายและเลือกสร้างแรงจูงใจให้เหมาะสม


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active