ทีม MCATT ลุยศูนย์พักพิงชั่วคราว จัดกิจกรรมฟื้นกิจวัตรประจำวันให้เด็ก ๆ ได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ หลังได้รับผลกระทบจากภาวะตึงเครียดชายแดน แนะผู้ใหญ่เป็นต้นแบบอารมณ์ พร้อมรับฟังเด็กโดยไม่ตัดสิน เตือนระวังกลุ่มเสี่ยงพฤติกรรม วัยรุ่นแยกตัว เด็กเล็กก้าวร้าว อาจบ่งชี้ภาวะทางใจ
ท่ามกลางบรรยากาศภายในศูนย์พักพิงชั่วคราวหลายจุด ที่จัดตั้งขึ้นหลังเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สิ่งที่พบเห็นได้จากการลงพื้นที่ของ The Active พบว่า เด็ก ๆ ภายในศูนย์ฯ จำนวนมาก ที่อาจดูร่าเริง เล่นสนุกกับเพื่อนใหม่ จนทำให้ผู้ปกครองรู้สึกเบาใจว่า “เด็กไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์มากนัก” แต่ในความเป็นจริง อาจไม่เป็นเช่นนั้น
พญ.ศิรัชชรินทร์ มุ่งอ้อมกลาง จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลสุรินทร์ หนึ่งในทีม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) เปิดเผยกับ The Active ว่า เด็ก ๆ ที่อยู่ในศูนย์พักพิงฯ มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตไม่ต่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกหลังอพยพ ซึ่งถือเป็นช่วง “เปราะบาง” ที่อารมณ์ความรู้สึกยังไม่มั่นคง

เด็กดูร่าเริง แต่จริง ๆ อาจกำลังเก็บอารมณ์
พญ.ศิรัชชรินทร์ อธิบายว่า เด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 6 ปี มักไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ได้ชัดเจน ผู้ใหญ่อาจมองว่าเด็กดูร่าเริง แต่ในความเป็นจริง เด็กอาจยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตน หรือยังไม่สามารถแสดงออกทางวาจาได้
“ช่วงสัปดาห์แรก เราอาจเห็นพฤติกรรมที่หลากหลาย บางคนดูนิ่งเฉย บางคนอาจหวาดกลัว กังวล หรือนอนไม่หลับ…เด็กแต่ละคนตอบสนองต่างกัน”
พญ.ศิรัชชรินทร์ มุ่งอ้อมกลาง
หลักการดูแลเด็กในภาวะวิกฤต คือ ปลอดภัย – ฟัง – ไม่ตัดสิน – กิจวัตรต้องปกติ เพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจในระยะยาว ทีมจิตแพทย์แนะนำหลักดูแลเบื้องต้น 4 ข้อ ได้แก่
- ความปลอดภัย – ต้องมั่นใจว่าเด็กอยู่ในที่ปลอดภัย และผู้ปกครองสามารถดูแลได้
- แบบอย่างทางอารมณ์จากผู้ใหญ่ – หากผู้ใหญ่ควบคุมอารมณ์ได้ดี เด็กก็จะรับอารมณ์เชิงบวกนั้นไปด้วย
- การรับฟังอย่างไม่ตัดสิน – เด็กควรได้รับโอกาสพูดถึงความรู้สึก โดยไม่ถูกซักถามหรือวิจารณ์
- รักษากิจวัตรประจำวันให้คงเดิมที่สุด – เช่น การตื่นนอน อาบน้ำ กินอาหารให้เป็นเวลา และมีกิจกรรมที่คุ้นเคย เช่น วาดภาพ ร้องเพลง หรือเล่นเกมอย่างสร้างสรรค์

พัฒนาการแต่ละวัย เปราะบางต่างกัน
พญ.ศิรัชชรินทร์ ยังอธิบายถึงความเปราะบางทางจิตใจของเด็กตามช่วงวัยดังนี้
- เด็กปฐมวัย (ต่ำกว่า 6 ปี) : แสดงอารมณ์ไม่ชัดเจน สังเกตจากพฤติกรรม เช่น ซึม เงียบ ก้าวร้าว หรือขี้ตกใจง่าย
- เด็กวัยประถม (6–12 ปี) : เริ่มสื่อสารได้ดีขึ้น อาจพูดถึงความกังวลโดยตรง เช่น “นอนไม่หลับ” หรือ “คิดถึงบ้าน”
- วัยรุ่น (13–18 ปี) : บางคนอาจเริ่มแยกตัว เงียบ ไม่เข้าสังคม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะซึมเศร้า ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์เด็กเน้นว่าอาการเหล่านี้จะต้องได้รับการคัดกรองอีกครั้งหลังจากอยู่ในศูนย์พักพิงไปแล้ว 2 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะช่วงแรกยังถือว่าเป็นระยะ “ปรับตัว”
แม้จะอยู่นอกโรงเรียน แต่ทีม MCATT และหน่วยงานภาคีต่าง ๆ พยายามจัดกิจกรรมเสริมพัฒนาการให้เด็กได้เรียนรู้เท่าที่เป็นไปได้
“เราพยายามจัดกิจกรรมที่ไม่ให้เด็กเคว้ง พยายามทำให้เหมือนอยู่บ้าน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางอารมณ์และพัฒนาการ”
พญ.ศิรัชชรินทร์ มุ่งอ้อมกลาง
สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำยังรวมถึงการระบายสี วาดภาพ ร้องเพลง หรือเล่นเกมที่ช่วยฝึกการเข้าสังคม ถูกออกแบบให้เด็กมีความสุข สื่อสารได้ และฟื้นความรู้สึก “ควบคุมชีวิตตัวเองได้อีกครั้ง”

ทำไม ? ต้องใส่ใจ ‘กลุ่มเด็ก’ เป็นพิเศษ
แม้ทุกกลุ่มประชากรจะสำคัญ แต่เด็กถือเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะผลกระทบทางจิตใจในวัยเด็กสามารถส่งผลยาวนานไปถึงวัยผู้ใหญ่
“ถ้าเราไม่ดูแลตั้งแต่วันนี้ เด็กบางคนอาจจะมีภาวะเครียดหรือซึมเศร้าหลังเหตุการณ์สงบ…การเริ่มตั้งแต่ต้นคือการป้องกันในระยะยาว”
พญ.ศิรัชชรินทร์ มุ่งอ้อมกลาง
จิตแพทย์เด็ก ยังบอกถึงสิ่งที่ “ไม่ควรทำ” กับเด็กหลังผ่านเหตุวิกฤต โดยขอให้หลีกเลี่ยงการถามเรื่องเหตุการณ์ซ้ำ ๆ เพราะจะย้ำภาพความเจ็บปวด อย่าคาดหวังให้เด็ก “เข้มแข็ง” หรือ “ต้องเข้าใจสถานการณ์” พร้อมให้หลีกเลี่ยงคำพูดเปรียบเทียบ เช่น “เพื่อนหนูยังไม่ร้องเลย” หรือ “แค่นี้เองไม่ต้องกลัว”
พญ.ศิรัชชรินทร์ ยังยอมรับว่า เด็กอาจพูดว่า “สนุกดี” หรือผู้ปกครองเห็นว่ายังเล่นกับเพื่อนได้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ในขณะเดียวกัน เด็กหลายคนยังมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ หรือรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ในสถานที่ใหม่ เช่น ศูนย์พักพิงที่ไม่เหมือนบ้าน
“ความรู้สึกของเด็กซับซ้อน บางคนเก็บไว้ บางคนพูดออกมา บางคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเครียด ผู้ใหญ่จึงต้องดูแลอย่างเข้าใจและไม่เร่งเร้า”
พญ.ศิรัชชรินทร์ มุ่งอ้อมกลาง