อพยพอีกกี่ครั้งถึงจะจบ ? ชาวบ้านร้องหาทางออก หลังชีวิตหยุดชะงัก กลางสมรภูมิชายแดน

“อยากให้มันจบ อยากกลับไปทำมาหากิน” หนึ่งเสียงสะท้อนผู้อพยพ หนีภัยสู้รบไทย-กัมพูชา ในช่วงเวลาที่ชีวิตเผชิญความเดือดร้อนกลางศูนย์พักพิง ลูกเล็กไม่มีนมกิน ชาวบ้าน ผู้ป่วยซึมเศร้านอนผวา คิดไม่ตกดอกเบี้ย หนี้สิน ยังเดินทุกวัน สวนทางอุปสรรคการหารายได้ ย้ำ ไม่ต้องการพึ่งพารัฐตลอดไป แต่ขอแค่โอกาสกลับไปตั้งตัวใหม่

วันนี้ (15 ธ.ค. 68) เข้าสู่วันที่ 9 ที่ยังคงเกิดเหตุปะทะต่อเนื่องตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ชาวบ้านในหลายพื้นที่ชายแดนยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน การอพยพจึงเป็นแนวทางสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงการสูญเสียชีวิต แต่เมื่อสถานการณ์เหตุปะทะยังคงยืดเยื้อนั่นเท่ากับว่าการอพยพอาจไม่ได้เป็นเพียงการย้ายที่อยู่ชั่วคราว แต่อาจหมายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับวงจรชีวิตที่ต้องหยุดชะงัก ตัดขาดจากแหล่งรายได้ การศึกษา และอาจเป็นบาดแผลทางใจที่ซ้ำเติมทุกครั้งที่เหตุการณ์เกิดซ้ำ

เมื่อต้องอพยพ ชีวิตก็หยุดชะงัก

ซ่อนกลิ่น นันทนา ชาวบ้านแปดอุ้ม ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เปิดเผยกับ The Active โดยเล่าถึงความยากลำบากหลังถูกสั่งให้อพยพมาอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ด้วยจำนวนผู้อพยพที่มากและพื้นที่จำกัด สภาพความเป็นอยู่จึงไม่สะดวกเหมือนอยู่บ้าน เด็กเล็กจำนวนมากขาดแคลนของใช้จำเป็นอย่างแพมเพิสและเสื้อผ้า เพราะสามารถนำของติดตัวออกมาได้เพียงเล็กน้อย

ที่สำคัญกว่านั้นคือการขาดรายได้ทันที ซึ่งเธอยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวมีอาชีพทำนา ทำไร่ และปลูกมันสำปะหลังเป็นรายได้หลัก แม้ผลผลิตข้าวจะเก็บเกี่ยวได้ทัน แต่ไร่มันสำปะหลังของหลายครัวเรือนยังไม่สามารถขนย้ายออกได้ ต้องปล่อยทิ้งไว้ เพราะประกาศอพยพอย่างเร่งด่วน

ทิพย์สุดา นันทนา อีกหนึ่งชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เผยว่า ครอบครัวเธอมีไร่มันสำปะหลังกว่า 10 ไร่ ไม่สามารถขุดได้ทัน เสียหายหมดทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ากว่าหนึ่งแสนบาท ซึ่งเป็นรายได้หลักของครอบครัวในแต่ละปี ความเสียหายนี้ทำให้ครอบครัวเกิดความเครียดอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อยังต้องดูแลลูกเล็กวัยเพียง 7 เดือนในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม

ปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อ ภาระหนี้สิน ยังคงดำเนินต่อไป แม้ชีวิตจะหยุดชะงัก ทิพย์สุดา ระบุว่า ครอบครัวมีหนี้จากการทำไร่ทำนากับสหกรณ์การเกษตรกว่าหนึ่งแสนบาท มีกำหนดชำระในช่วงต้นปีหน้า แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจะมีเงินชำระหรือไม่ เพราะรายได้หลักสูญหายไปจากการอพยพ

‘ศูนย์พักพิง’ ความพยายามท่ามกลางข้อจำกัด

ขณะที่ วิทยา ใบศรี ผู้ใหญ่บ้านบ้านร่องรวมวุฒิ เล่าว่า ชุมชนได้วางแผนล่วงหน้า หากได้รับแจ้งจากทางอำเภอ จะสามารถเปิดศูนย์พักพิงได้ภายใน 30 นาที

ปัจจุบันศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งรองรับผู้อพยพกว่า 420 คน ส่วนใหญ่มาจากบ้านแปดอุ้ม ในจำนวนนี้เป็นเด็กเกือบ 100 คน มีผู้สูงอายุ 56 คน และผู้พิการ 4 คน องค์การบริหารส่วนตำบลดูแลเรื่องอาหารวันละ 3 มื้อ จัดส่งจากครัวของ อบต. อย่างต่อเนื่องทุกวัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดแคลนอย่างมากคือ นมสำหรับเด็กเล็ก และผ้าอ้อมสำเร็จรูป เด็กหนึ่งคนต้องใช้ผ้าอ้อมเฉลี่ยวันละประมาณ 3 ชิ้น ขณะนี้นมเริ่มใกล้หมด และสิ่งของบริจาคในรอบนี้มีน้อยกว่ารอบแรกอย่างเห็นได้ชัด

เด็ก-เยาวชน เหยื่อของปัญหาที่ซับซ้อน

ศิริวรรณ อาษาศรี ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการแบ่งปัน ซึ่งทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนมุมมองกับ The Active ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน โดยเน้นย้ำความสำคัญไปที่กลุ่มเด็ก ๆ ที่เผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างมากมาย เช่น พ่อแม่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างรายวัน หรือเป็นเกษตรกร เด็กจำนวนมากจึงถูกฝากเลี้ยงกับผู้สูงอายุ ขาดโอกาสในการดูแล ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิต

ยังพบเด็กที่มีปัญหาสุขภาพซับซ้อน เมื่อต้องเดินทางไกลเพื่อพบแพทย์เฉพาะทาง ผู้สูงอายุที่ดูแลเด็กไม่สามารถพาไปรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เด็กบางคนหลุดจากระบบการดูแลทางการแพทย์

ผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนอาจไม่เห็นเป็นรูปธรรมในทันที แต่กลับเป็นบาดแผลที่ลึกและยาวนาน การอพยพหลายครั้งทำให้เด็กจำนวนมากต้องหยุดเรียน แม้บางช่วงจะสามารถกลับไปเรียนได้ แต่หลายโรงเรียนเปิดการเรียนการสอนเพียงครึ่งวัน ผู้ปกครองบางส่วนยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงให้เด็กขาดเรียน

ศิริวรรณ ยังระบุว่า เด็กจำนวนหนึ่งมีภาวะหวาดกลัวจากเสียงที่คล้ายการสู้รบ มีความเครียดและความไม่มั่นคงทางจิตใจ ขณะเดียวกันเด็กที่อยู่ในศูนย์พักพิงยังขาดกิจกรรมสร้างสรรค์และขาดโอกาสในการเรียนรู้นอกห้องเรียน

ในด้านโภชนาการ เด็กเล็กจำนวนมากประสบปัญหาขาดนม เนื่องจากนมโรงเรียนถูกจัดสรรและเก็บไว้ที่สถานศึกษา ไม่สามารถนำออกมาพร้อมกับการอพยพได้ เด็กบางคนที่ต้องพึ่งนมผงก็ประสบภาวะขาดแคลน เพราะครอบครัวไม่มีรายได้ในช่วงอพยพ

ศิริวรรณ ยังชี้ว่า การเข้าถึงความช่วยเหลือเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากศูนย์พักพิงบางแห่งตั้งอยู่ค่อนข้างลึก ไม่ติดถนนสายหลัก ทำให้การนำสิ่งของมาบริจาคทำได้จำกัด ส่งผลให้ความช่วยเหลือจากเครือข่ายภายนอกเข้ามาไม่มากนัก

ผู้ป่วยเรื้อรัง เหยื่ออีกกลุ่มที่ไม่ควรมองข้าม

ศิริวรรณ ยังสะท้อนถึงผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคเรื้อรังในพื้นที่ แม้จะมีระบบอาสาสมัครสาธารณสุขและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านช่วยรับ-ส่งยา แต่กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอื่นแทนโรงพยาบาลน้ำยืนที่ปิดบริการชั่วคราว ยังคงมีข้อจำกัดด้านเอกสารและขั้นตอน ทำให้ผู้ป่วยบางรายขาดช่วงการรับยาและการรักษา

เช่นเดียวกับ ซ่อนกลิ่น ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว ต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความเครียดจากทั้งสถานการณ์ความไม่สงบ และปัญหาเศรษฐกิจ ผู้อพยพจำนวนไม่น้อยมีอาการผวาเสียงระเบิด นอนไม่หลับ

เยียวยาที่ไม่เพียงพอ ?

ซ่อนกลิ่น ยังระบุถึงการช่วยเหลือ ว่ารอบแรกได้รับเงินครัวเรือนละ 5,000 บาท ซึ่งไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิก 6 – 7 คน เธอจึงอยากให้ภาครัฐพิจารณาการเยียวยาในลักษณะรายบุคคล หรือเพิ่มวงเงินให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

ทิพย์สุดา ยังเรียกร้อง ให้ภาครัฐพิจารณามาตรการช่วยเหลือที่มากกว่าการเยียวยาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 – 3 ปี รวมถึงการฟื้นฟูอาชีพและจัดหางานเสริม

ขณะที่ ศิริวรรณ เสริมว่า แม้จะมีมาตรการพักหนี้ แต่ดอกเบี้ยยังคงเดินต่อ ทำให้ชาวบ้านต้องเผชิญภาวะกดดันทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพแรงงานรับจ้างรายวัน เมื่ออพยพมาแล้วจึงไม่มีรายได้เลย แต่รายจ่ายยังคงมีตลอด

เสียงเรียกร้องจากพื้นที่ “อยากให้มันจบ”

“ชาวบ้านหลายคนพูดตรงกันว่า อยากให้มันจบ ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่น แต่หมายถึงอยากให้ความรุนแรงหยุด เพื่อจะได้กลับไปทำมาหากิน รายได้ของเขาเป็นวันต่อวัน แต่รายจ่ายยังมีตลอด”

วิทยา เสริมว่า สถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนยังเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ชาวบ้านจำนวนมากมีความกังวลเรื่องทรัพย์สิน บ้านเรือน และผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่งทำเสร็จ ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะต้องอยู่ในศูนย์พักพิงอีกนานเพียงใด

ซ่อนกลิ่น ยังทิ้งท้ายว่า แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลงในอนาคต แต่การกลับไปตั้งตัวใหม่ยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากระบบเศรษฐกิจในชุมชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงอยากให้รัฐบาลเร่งวางแผนฟื้นฟูอาชีพ และจัดหางานหรือรายได้ทางเลือก เพื่อให้ครอบครัวผู้อพยพสามารถดูแลลูกหลานและกลับมาดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

ทางออก เยียวยาฉุกเฉิน ควบคู่แผนระยะยาว

ศิริวรรณ ยังเสนอว่า ภาครัฐจำเป็นต้องดำเนินการเยียวยาในลักษณะเร่งด่วนสำหรับความเดือดร้อนเฉพาะหน้า พร้อมทั้งต้องมองไกลในระยะยาว ชาวบ้านไม่ได้ต้องการพึ่งพาความช่วยเหลือตลอดไป แต่ต้องการกลับไปดูแลตนเองในพื้นที่ของตน

หากสถานการณ์ยืดเยื้อ คุณภาพชีวิตประชาชนจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านรายได้ สุขภาพ และสภาพจิตใจ ดังนั้นภาครัฐควรลดขั้นตอนการช่วยเหลือที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือเข้าถึงประชาชนได้ทันท่วงที ควบคู่กับการวางแผนฟื้นฟูในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

ในระยะยาว การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนชายแดนต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะพื้นที่ ไม่ควรใช้แนวทางเหมารวมกับพื้นที่อื่น โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนชายแดนที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข และมีปัจจัยเสี่ยงด้านสังคมเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบ

เมื่อชายแดนเป็นมากกว่าเส้นแบ่งเขต ?

ชายแดนไม่ได้เป็นเพียงเส้นแบ่งเขตบนแผนที่ แต่เป็นพื้นที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ มีชีวิต มีความฝัน และมีความหวัง เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นเหยื่อที่ต้องจ่ายราคาด้วยชีวิตประจำวันที่พังทลาย

การอพยพซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขสถิติ แต่เป็นเรื่องราวของครอบครัวที่สูญเสียรายได้ เด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ผู้ป่วยที่เสี่ยงขาดยา และชุมชนที่ระบบเศรษฐกิจพังทลาย

“ถ้าไม่มีสงคราม เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตก็จะเดินหน้าได้ เด็กชายแดนจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมกับพื้นที่ และต้องมีแผนรับมือภัยพิบัติหรือความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต”

ศิริวรรณ อาษาศรี

คำถามสุดท้ายคือ เมื่อไหร่สังคมไทยจะหันมามองชีวิตของคนชายแดนอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นระบบ เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถอยู่ในพื้นที่ของตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่ต้องกลัวว่าวันพรุ่งนี้อาจต้องอพยพอีกครั้ง​​​​​​​​​​​​​​​​

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active