ชาวบ้านกว่า 4,000 คนยังต้องใช้ชีวิตอย่างแออัดในพื้นที่อพยพ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เร่งเฝ้าระวังคุมโรค แจกหน้ากากอนามัย ตั้งจุดแพทย์ 24 ชม. ขณะที่ชาวบ้าน ยังไร้กำหนดกลับบ้าน ขอประเมินสถานการณ์หลังวันที่ 7 ส.ค. นี้
วันนี้ (5 ส.ค. 68) The Active ลงพื้นที่ศูนย์อพยพชั่วคราวในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ พบว่า ขณะนี้กำลังเผชิญสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อในกลุ่มชาวบ้านที่อพยพมาอยู่รวมกันภายในศูนย์ฯ โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ท่ามกลางความแออัดและสภาพความเป็นอยู่ที่จำกัด ขณะที่ชาวบ้านจำนวนมากยังไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ เนื่องจากพื้นที่ยังไม่ปลอดภัย และหน่วยงานความมั่นคงยังไม่อนุญาตให้อพยพกลับ
วิมลรัตน์ ชูโฉมงาม ผู้อำนวยการสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี บ้านรุน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เปิดเผยกับ The Active ว่า ขณะนี้เริ่มมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ และพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในศูนย์อพยพ โดยมีผู้ป่วยสะสมรวมแล้วกว่า 100 คน ซึ่งทางจังหวัดได้เร่งลงพื้นที่ตรวจคัดกรอง ฉีดวัคซีน และแยกผู้ป่วยออกจากกลุ่มเสี่ยง
“เราเริ่มพบผู้ป่วยตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์เข้ามาตรวจค้นหา และต่อมาทาง สสจ.สุรินทร์ ก็เริ่มฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในวันเสาร์–อาทิตย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 9 ปีขึ้นไป”
วิมลรัตน์ ชูโฉมงาม

มาตรการควบคุมโรคเบื้องต้น ได้แก่ การแยกผู้ป่วยออกไปอยู่อาคารแยกต่างหาก, การแจกหน้ากากอนามัย และการตั้งจุดบริการทางการแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมงในศูนย์ ขณะนี้มีผู้ถูกแยกกักเพื่อเฝ้าสังเกตอาการแล้ว 116 คน โดยเฉลี่ยใช้เวลารักษาตัว 3–5 วัน
สถานการณ์ดังกล่าวน่าเป็นห่วง เนื่องจากศูนย์อพยพมีผู้อยู่อาศัยร่วมกันกว่า 4,000 คน แม้จะลดลงจากช่วงสูงสุดที่มีมากถึง 6,000 คน แต่ก็ยังมีความแออัดสูง โดยผู้อพยพใช้ชีวิตรวมกันในอาคารเดียวกัน มีการใช้ห้องน้ำและพื้นที่รับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งเอื้อต่อการแพร่ระบาดของโรค
ขณะที่ ชาวบ้านที่พักอยู่ในศูนย์อพยพฯ ยังคงไร้กำหนดในการเดินทางกลับบ้าน หนึ่งในนั้นคือ ยอด พาจุจันทโร วัย 75 ปี ชาวบ้านบักได ซึ่งเปิดเผยว่า หมู่บ้านของเธอยังไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่กำลังเก็บกู้กับระเบิดในพื้นที่ หลังเหตุปะทะชายแดนเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม
“เขายังไม่ให้กลับค่ะ เพราะหมู่บ้านยังไม่ปลอดภัย อยู่ในบ้านไม่ได้เลย กลัวค่ะ ระเบิดตกใกล้โรงพยาบาล แล้วบ้านยายก็อยู่แถวนั้น”
ยอด พาจุจันทโร
เธอ ยังระบุว่า ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องรายได้จากการเกษตรที่ต้องหยุดชะงัก และไม่สามารถดูแลนาข้าวได้ตามฤดูกาล

เช่นกันกับ ลาย ตีเงิน อายุ 55 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 1 บ้านบักได ที่เล่าว่า เธอและสามีต้องหยุดงานทันทีหลังเหตุปะทะ รายได้จากการรับจ้างและทำนาขาดหาย ขณะที่ข้าวในนาก็ไม่ได้รับการดูแลเพราะฝนไม่ตกและไม่สามารถกลับไปใส่ปุ๋ยหรือตัดหญ้าได้
“รายได้เราหายหมดเลยค่ะ แฟนก็ไม่ได้ไปทำงาน ฉันเองก็ทำนา แต่ข้าวไม่ได้ดูแลเลย แล้งด้วย ปีนี้คงไม่ได้ข้าวเต็มที่แน่นอน”
ลาย ตีเงิน
นอกจากนี้ เธอยังกล่าวถึงสถานการณ์ในศูนย์อพยพฯ ว่าเริ่มมีผู้ป่วยมากขึ้น โดยบางรายมีอาการไอหนัก ไข้สูง อาเจียน หรือท้องเสีย จนต้องถูกแยกไปอยู่อาคารอีกฝั่งเพื่อสังเกตอาการ
“เริ่มมีคนป่วยตั้งแต่เมื่อวาน บางคนไข้ขึ้น บางคนอาเจียน ท้องเสีย เริ่มเยอะขึ้นทุกวัน แม้จะมีแมสแจกให้ทุกคนใส่ แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะอยู่กันเยอะ”
ลาย ตีเงิน
ขณะที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขพยายามควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง ผู้อพยพยังคงอยู่ในภาวะไร้ทางเลือก การกลับบ้านยังไม่มีความชัดเจน โดยคาดว่าทางจังหวัดจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 7 – 8 สิงหาคม ว่าพื้นที่ปลอดภัยพอหรือไม่