ชาวบ้านศูนย์อพยพ วอนรัฐช่วยคุยไฟแนนซ์ พักหนี้ชั่วคราวช่วงวิกฤต หลังโดนทวงทุกวัน  

ชาวบ้าน เผยรายได้หยุดทันที แต่ค่าใช้จ่ายไม่หยุด โดนไฟแนนซ์โทรทวงหนี้ บางคนเงินเก็บหมดตั้งแต่ 5 วันแรกที่ต้องอพยพ ย้ำไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่คนชายแดนไม่มีทางเลือก หวังสถานการณ์ชายแดนจบเร็ว ได้กลับไปใช้ชีวิตปกติ เป็นของขวัญปีใหม่  

วันนี้ (16 ธ.ค. 68) The Active ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านคำระหงษ์ หมู่ 16 ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ที่อพยพมาอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่งใน อ.เดชอุดม ซึ่งเป็น 1 ในกว่า  90 ศูนย์พักพิงฯ ใน จ.อุบลบราชธานี เปิดเผยถึงความเดือดร้อน หลังต้องอพยพออกจากพื้นที่ มาแล้ว 9 วัน จากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนที่ยังไม่คลี่คลาย ครั้งนี้ถือเป็นการอพยพรอบที่ 3-4 ทำให้รายได้หยุดชะงัก ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ขณะที่ภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายยังคงเดินต่อเนื่อง

รายได้หยุด ค่าใช้จ่ายไม่หยุด

นารี ประพาล ชาวบ้านคำระหงษ์ บอกกับ The Active ว่า มีอาชีพกรีดยางและทำการเกษตร มีรายได้วันละประมาณ 1,000 บาทจากการกรีดยางแบ่งครึ่งกับเจ้าของสวน ซึ่งเป็นรายได้หลักของครอบครัว

“รายได้ของเราคือรายวัน หยุดก็คือหยุดเลย แต่รายจ่ายไม่เคยหยุด ลูกต้องเรียน งวดรถต้องจ่าย ค่าใช้จ่ายมันยังเดินเหมือนเดิม ซึ่งเงินหมดตั้งแต่ 5 วันแรกของการอพยพแล้ว”

นารี ประพาล

นารี ประพาล ชาวบ้านคำระหงษ์ หมู่ 16 ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

นารี บอกด้วยว่า การอพยพรอบนี้เกิดขึ้นซ้ำจากครั้งก่อนที่เคยอพยพไปแล้วกว่า 16 วัน ทำให้ยังไม่ทันได้ฟื้นฟูสวนยางและไร่นา ความเสียหายจากรอบแรกยังไม่ได้รับการแก้ไข รอบใหม่ก็ต้องอพยพอีก โดยมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น ทำให้ครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างหนัก

แรงงานหลายอาชีพเดือดร้อนหนัก

สุรสิทธิ สุทะนัง เปิดเผยว่า ตนประกอบอาชีพ ทั้งรับจ้างกรีดยาง ทำเกษตร ทำนา ขายก๋วยเตี๋ยวรถพ่วงข้าง และเป็นนักร้องหมอลำ โดยมีรายได้เฉลี่ยวันละ 500-600 บาท ต้องนำมาเลี้ยงดูบุตร 4 คน

สุรสิทธิ สุทะนัง ชาวบ้านคำระหงษ์ หมู่ 16 ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

“งานร้องหมอลำโดนยกเลิกหมดเลย ปกติรับงานครั้งละ 1,500-2,000 บาท บางวันรับทั้งกลางวันกลางคืน ได้ถึง 3,000 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีเลย โดยเฉพาะงานแสดงช่วงปลายปีที่รับไว้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม ต่อเนื่องถึงช่วงปีใหม่ต้องถูกยกเลิกทั้งหมด”

สุรสิทธิ สุทะนัง

สุรสิทธิ ยังระบุว่า นี่เป็นการอพยพครั้งที่ 3 โดยรอบแรกอพยพนานกว่าหนึ่งเดือน รอบที่ 2 ประมาณ 10 กว่าวัน และรอบปัจจุบันผ่านมาแล้ว 9 วัน แต่ยังไม่ทราบว่าจะต้องอยู่อีกนานเพียงใด

ผลผลิตเสียหาย ผักปลูกไม่ทันเก็บ

เช่นเดียวกับ สีไว อินเดช เล่าว่า ตนรับจ้างรายวันทำกับข้าวและดูแลเด็ก ได้ค่าจ้างวันละประมาณ 150 บาท นอกจากนี้ครอบครัวยังปลูกผักทำสวนเองในพื้นที่นา เพื่อนำผลผลิตมาขายผ่านเฟซบุ๊กเป็นรายได้เสริม

“วันอพยพเป็นวันอาทิตย์ ลูกค้าสั่งถั่ว ผัก พริกไว้แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เก็บ ทางหมู่บ้านประกาศให้อพยพออกจากพื้นที่ 100% ก็ต้องทิ้งทุกอย่างไว้”

สีไว อินเดช

สีไว อินเดช ชาวบ้านคำระหงษ์ หมู่ 16 ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

เธอยังระบุว่า ครอบครัววางแผนปลูกผักหลายชนิด เช่น หอม กระเทียม ถั่ว พืชผักสวนครัว รวมถึงเผือก เพื่อเก็บขายช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี แต่เมื่อเกิดการอพยพทำให้ผลผลิตเสียหายและไม่ได้เก็บเกี่ยวเลย

“แทนที่ช่วงปีใหม่จะได้ขายผัก มีเงินกินเงินใช้ กลายเป็นว่าไม่ได้อะไรเลย ทุกอย่างยังอยู่ในนา แต่เราเข้าไปไม่ได้”

สีไว อินเดช

สีไว เน้นย้ำว่า นี่ไม่ใช่การอพยพครั้งแรก แต่เกิดขึ้นซ้ำถึง 4 ครั้ง ทำให้ไม่สามารถวางแผนทำมาหากินหรือปลูกพืชระยะสั้นได้อย่างต่อเนื่อง

ไฟแนนซ์โทรทวงหนี้ทุกวัน แม้อยู่ในพื้นที่สู้รบ

นารี ยังสะท้อนปัญหาหนี้สินว่า แม้จะอพยพออกจากพื้นที่ แต่ไฟแนนซ์และสถาบันการเงินยังคงโทรทวงหนี้ตามปกติ โดยไม่ได้ผ่อนผันหรือชะลอการชำระหนี้

“เราบอกเขาแล้วว่าอพยพ แต่เขาบอกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องจ่าย โทรทวงเหมือนเดิม ทั้งงวดรถ ทั้งหนี้ต่าง ๆ”

นารี ประพาล

สุรสิทธิ ก็เผยปัญหาเดียวกันว่า ตนมีรถจักรยานยนต์ที่ผ่อนผ่านไฟแนนซ์ถึง 3 คัน และยังถูกบริษัทไฟแนนซ์โทรทวงหนี้ทุกวัน แม้จะชี้แจงว่าอยู่ในพื้นที่อพยพจากสถานการณ์สู้รบแล้วก็ตาม

“โทรตามทุกวัน ผมก็บอกว่าอยู่ในพื้นที่สีแดง อยู่ในพื้นที่สู้รบจริง ๆ แต่สักพักก็โทรมาอีก เครียดกว่าเดิม เพราะเราไม่มีรายได้ ต้องใช้วันต่อวัน”

นารี ประพาล

ของใช้จำเป็นยังไม่เพียงพอ

แม้ในศูนย์อพยพจะมีอาหารเพียงพอจากการดูแลของภาครัฐ แต่ของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันยังขาดแคลน เช่น สบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน นม และของใช้ส่วนตัว โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกจำนวนมาก ทำให้ต้องควักเงินส่วนตัวสำรองจ่ายเองก่อน

“ของบางอย่างอย่างสบู่ ยาสีฟัน ได้มาแป๊บเดียวก็หมด ลูกผมเยอะ ก็ต้องซื้อเองก่อนกว่าจะได้รอบใหม่”

สุรสิทธิ สุทะนัง

เช่นเดียวกับ สีไว ที่บอกว่า ตลอด 9 วันที่อพยพมาอยู่ศูนย์ ไม่สามารถหารายได้ใด ๆ ได้เลย ต้องนำเงินเก็บมาใช้จ่าย พร้อมยังต้องส่งเงินให้บุตรที่เรียน ม.1 ใช้จ่ายสัปดาห์ละประมาณ 300 บาท แต่ทำได้ไม่สม่ำเสมอ ต้องอาศัยญาติช่วยกันดูแล

วอนรัฐช่วยเจรจาไฟแนนซ์–ลงพื้นที่เข้าใจปัญหาจริง

นารี อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเจรจากับไฟแนนซ์และสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน รวมถึงบริษัทสินเชื่อต่าง ๆ เพื่อพักชำระหนี้หรือผ่อนผันภาระในช่วงวิกฤต

“ไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่คนชายแดนไม่มีต้นทุน ไม่มีทางเลือก ก็ต้องจำยอมกู้ อยากให้รัฐเห็นใจตรงนี้”

นารี ประพาล

สีไว ก็เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมารับรู้สภาพความลำบากของประชาชนในพื้นที่จริง

“ถ้าไม่มาอยู่ตรงนี้ จะไม่รู้เลยว่าความลำบากมันเป็นยังไง ดูแต่ข่าวไม่เหมือนมาเห็นด้วยตัวเอง คนแก่ คนเฒ่าก็ลำบาก ห้องน้ำไม่สะดวก โดยเฉพาะตอนกลางคืน”

สีไว อินเดช

หวังความขัดแย้งจบเร็ว “เป็นของขวัญปีใหม่”

สำหรับข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล ชาวบ้านทั้ง 3 คนต่างเห็นตรงกันว่า สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติโดยเร็ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เพื่อให้สามารถกลับไปทำมาหากินและใช้ชีวิตตามปกติ

“อยากให้มันจบ จบเร็ว ๆ คนชายแดนอยู่แบบไม่รู้วันกลับ ไม่สบายใจ เพิ่งกลับไปได้ไม่กี่เดือน ยังทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องมาอพยพอีกแล้ว”

นารี ประพาล

นารี ยังระบุว่า หากการเจรจาเป็นหนทางที่ดีที่สุดก็อยากให้เดินหน้าอย่างจริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียของทุกฝ่าย พร้อมขอให้การยุติสถานการณ์เกิดขึ้นภายในปี 2568

“ขอให้จบจริง ๆ แบบไหนก็ได้ ขอให้จบ ถ้าเป็นไปได้อยากให้เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับคนชายแดนและคนไทยทุกคน”

นารี ประพาล

สุรสิทธิ ก็เน้นย้ำว่า ถ้าจบเร็ว ก็ได้กลับไปทำงานเร็ว ไปทำนา กรีดยาง ไปรับงานที่เคยรับไว้ แต่ถ้าไม่จบ ปีนี้คงไม่ได้ทำอะไรแน่

ส่วนนางสีไวกล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้จบ ไม่อยากให้มีอีก เราอพยพมาแล้ว 4 ครั้ง ทำมาหากินอะไรไม่ได้เลย พร้อมเรียกร้องให้รัฐเห็นใจคนชายแดนที่ต้องแบกรับผลกระทบซ้ำซ้อน ทั้งรายได้ที่หายไป ผลผลิตทางการเกษตรที่เสียหาย และภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่ยังคงอยู่​​​​​​​​​​​​​​​​

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active