ชาวบ้านด่านขุนทดปักหลัก รวมตัวคัดค้านเหมืองโปแตชหน้า ก.อุตสาหกรรม หวั่นน้ำใต้ดินเป็นพิษ-วิถีชีวิตพินาศ ภาคประชาสังคมร่วมหนุน ยืนหยัดในสิทธิชุมชน
30 มกราคม 2567 กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ยังคงปักหลักอยู่ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเวลากว่า 3 วัน เพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้ยุติการดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตชในพื้นที่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันในครั้งนี้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าพวกเขาคัดค้านโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน
การชุมนุมในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีรายงานว่าบริษัทผู้ได้รับสัมปทานเหมืองโปแตชได้ดำเนินการสำรวจพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และอาจมีการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการเหมืองในอนาคตอันใกล้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดให้เหตุผลว่าการทำเหมืองโปแตชจะนำมาซึ่งปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการปนเปื้อนของน้ำใต้ดิน การทรุดตัวของดิน และมลพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายและที่ปรึกษากลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด กล่าวว่า ภาพรวมการต่อสู้ 3 วันที่ผ่านมา นอกจากมีการยื่นหนังสือต่อหน่วยงานต่าง ๆ แล้ว ระหว่างนี้ ยังมีการเจรจาพูดคุยกับกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นระยะ ๆ เพื่อหาทางออก ซึ่งเรายังคงเรียกร้องเดิม คือ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ต้องยุติใบอนุญาตทำเหมืองแร่โปแตช ของบริษัทไทยคาลิ ที่ถือหุ้นโดยบริษัทบางจากรอบใหม่ ที่จะทำการขุดเจาะและระเบิด 3 อุโมงค์ใหม่ทันที พร้อมทำการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการทำเหมืองรอบเก่าก่อนคิดจะทำเหมืองรอบใหม่
“การที่ กพร. บอกว่า ให้ทำเหมืองรอบใหม่ไปก่อน ส่วนผลกระทบจากเหมืองรอบเก่า ค่อยมาเยียวยาแก้ไขในภายหลัง เป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้ การไม่แก้ไขปัญหาเดิมแล้วจะมาทำเหมืองรอบใหม่ถือเป็นการซ้ำเติมชาวบ้าน ทั้งที่ของเดิมที่ดินกว่าพันไร่มีแต่ดินเค็มน้ำเค็มก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา”
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
จับตาอุโมงค์เหมืองแห่งใหม่ดอนหนองโพ
กลบข่าวชุมนุมเหมืองแร่โปแตช
ส่วนผลกระทบจากการทำเหมืองที่ด่านขุนทด มีรายงานจากทางบริษัทยอมรับมีน้ำรั่วไหลที่อุโมงค์หนองไทรแต่ทำการซ่อมแซมแล้วไม่มีการรั่วไหล โดยทางชาวบ้านขอตั้งคำถามกลับว่า ถ้าซ่อมแซมแล้วจะมาขุดอุโมงค์ทำเหมืองใหม่เพิ่มที่ดอนหนองโพทำไม ทำไมไม่กลับไปใช้อุโมงค์เดิม ตรงนี้ทางกลุ่มยืนยันว่า ถือเป็นการบิดประเด็นเพื่อกลบข่าวกรณีพี่น้องมาชุมนุมหยุดเหมืองแร่โปแตซ ซึ่งความมุ่งหวังไม่ได้ต้องการทำเหมืองเพื่อมาทำปุ๋ยราคาถูก แต่ความมุ่งหวังก็เพื่อต้องการแร่ชนิดอื่น โดยเฉพาะโซเดียมคลอไรด์ที่นำมาใช้ทำแบตเตอรี่ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั่นเอง
“การให้ข่าวเพื่อหวังกลบข่าวผู้ชุมนุมและเบี่ยงประเด็นเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งโดยเฉพาะภาครัฐถือเป็นการให้ข้อมูลเท็จกับสังคม การที่ภาครัฐโฆษณาว่า เกษตรกรไทยจะมีปุ๋ยราคาถูกใช้ ถามกลับว่า ไทยมีการทำเหมืองแร่โปแตซมานับ10ปี ทำไมปุ๋ยมีแต่แพงขึ้น การมาออกข่าวตอนนี้ ถือเป็นบิดเบือนเลี่ยงประเด็นกลบข่าวการชุมนุมของพี่น้องเราชัดเจน”
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
สำหรับกิจกรรมวันนี้ตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางไปหารือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) เพื่อสะท้อนข้อกังวลกับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของนักปกป้องสิทธิฯและในช่วงระหว่างการชุมนุมที่หน้ากระทรวงอุตสาหกรรม
ชาวบ้านที่เข้าร่วมการชุมนุมได้เน้นย้ำว่า พวกเขาไม่เคยได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในกระบวนการพิจารณาอนุญาตยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับความโปร่งใส ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเดินทางมายังกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อนำเสนอข้อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการอนุมัติสัมปทานเหมืองโปแตชในพื้นที่
ภายหลังจากการชุมนุม กลุ่มผู้แทนของฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบหนังสือข้อเรียกร้อง โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการขอให้ยุติการออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับโครงการเหมืองโปแตชในพื้นที่ และให้มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างรอบด้านก่อนที่จะมีการพิจารณาใด ๆ เพิ่มเติม
ยืนยันสิทธิชุมชน
‘อังคณา’ ร้องหน่วยงานรัฐด้านสิทธิลงมาฟังเสียงชาวบ้าน
อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาและนักสิทธิมนุษยชน ตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของรัฐต่อสิทธิมนุษยชน ชี้ประเทศไทยยอมรับแนวปฏิบัติเอง แต่แผนระดับชาติของกระทรวงยุติธรรมกลับตีความอย่างคับแคบ แทนที่จะครอบคลุมปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากธุรกิจเหมือง แม้จัดทำแผนมาหลายปี แต่ยังไม่เคยมีการประเมินผลว่าแผนดังกล่าวช่วยปกป้องสิทธิชุมชนได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีฟ้องปิดปากที่ยังไร้การแก้ไข
อังคณา ยังชี้ว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ แม้เป็นหน่วยงานเล็ก แต่รับผิดชอบภารกิจสำคัญระดับประเทศ ควรมีการประเมินผลที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามสหประชาชาติเพื่อสร้างภาพ นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมควรเปิดเวทีรับฟังความเห็นชาวบ้าน เพราะรมว.อุตสาหกรรมอาจไม่เข้าใจหลักการคุ้มครองสิทธิประชาชนตามมาตรฐานสากล
อังคณา ยังเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ลงมารับฟังเสียงชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องไปถึงด่านขุนทด แต่สามารถมาพูดคุยในพื้นที่ได้ทันที และควรเป็นตัวกลางประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมย้ำว่าการดำเนินคดีควรเป็นทางเลือกสุดท้าย หากผู้ชุมนุมไม่มีพฤติกรรมรุนแรง ตำรวจก็ไม่ควรใช้การแจ้งความเป็นเครื่องมือกดดัน
พร้อมเสนอให้รัฐมนตรีอุตสาหกรรมและประธาน กสม.มารับฟังปัญหาจากชาวบ้านโดยตรง พร้อมเชิญร่วมรับประทานอาหาร เพื่อสร้างเวทีพูดคุยหาทางออกอย่างสันติ ทั้งนี้ ยังแนะให้บางจากดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล และหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคมและนักวิชาการบางส่วนได้ออกมาแสดงความสนับสนุนต่อการเคลื่อนไหวของชาวบ้าน โดยชี้ให้เห็นว่าการดำเนินโครงการขนาดใหญ่นั้นควรมีการเปิดเผยข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างจริงจัง เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติเป็นสมบัติส่วนรวม และผลกระทบจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่อาจส่งผลต่อคนในพื้นที่ไปอีกหลายชั่วอายุคน