ยื่น 5 ข้อเรียกร้องถึงนายกฯ หญิง เนื่องในวันสตรีสากล

‘สสรท.-สรส’ เรียกร้องหยุดทุนนิยมกดขี่แรงงานหญิง ขอรัฐลงทุนในแม่และเด็กเพื่อส่งเสริมการมีบุตร ‘แพทองธาร’ ย้ำ ผลักดันนโยบาย แก้ไขกฎหมาย เพื่อความเสมอภาคทางเพศอย่างเต็มที่

วันสตรีสากล

วันนี้ (8 มี.ค. 68) เนื่องในวันสตรีสากล สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเสนอข้อเรียกร้องเนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 ถึงนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร

ตัวแทนเครือข่าย กล่าวว่า ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนเสรีนิยมที่รัฐบาลทุกยุคสมัยได้ใช้เป็นแนวทางกำหนดทิศทางในการบริหารจัดการประเทศ ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่าเกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนอย่างไร ภาวะรวยกระจุก จนกระจาย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงเป็นลำดับต้นของโลก หนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นกว่า 90% ของประเทศ ความยากจนและหนี้สินที่พอกพูน เศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจในวัยเจริญพันธ์ที่ไม่อยากมีบุตร 

เห็นได้จากสถิติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดในปี 2567 คนไทยมีบุตรเพียง 4.6 แสนคน เป็นปีแรกที่ต่ำกว่า 5 แสนคน และคาดว่าอีก 50 ปีข้างหน้าคนไทยจะเหลือเพียง 40 ล้านคน หายไปกว่า 25 ล้านคน ที่จะส่งผลต่อ GDP การพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ ความสมดุลในการเก็บภาษี ประกันสังคม การใช้จ่ายการบริโภค หนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มสูง ต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น และผลกระทบต่อการลงทุนโดยภาพกว้างที่ขาดความยั่งยืนต่อประเทศชาติ และจะเกิดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างทางสังคมที่ห่างกันมากขึ้น 

แต่รัฐยังขาดการวางแผนรับมือ ไม่มีแผนแม่บทเพื่อรองรับปัญหา แก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ทั้งเรื่อง ตลาดแรงงาน การศึกษา สุขภาพ และการลงทุนในมนุษย์ โดยเฉพาะชีวิตแม่และเด็กที่มีคุณภาพ ยิ่งมากกว่านั้นปัญหาการถูกเลิกจ้าง การจ้างงานที่ไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รัฐยังไม่สามารถที่จะช่วยเหลือ เยียวยาได้ ผลกระทบจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนยากจนตั้งแต่ยังไม่เกษียณอายุ คนตกงาน ถูกเลิกจ้าง ปิดกิจการทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างน่ากังวล ท่ามกลางประเทศไทยที่กำลังก้าวย่างเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ (Complete super Aged Society) ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วความไม่พร้อม

ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก พัฒนาสังคมประเทศ และมีผู้หญิงในหลายประเทศก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยผู้หญิงยังคงถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกมากมายหลายมิติ วันสตรีสากลในปีนี้ต้องการให้รัฐบาลบูรณาการแก้ไข ดำเนินการทางนโยบาย กฎหมาย เพื่อปกป้องคุ้มครอง และเยียวยาสิทธิของผู้หญิงให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ตามหลักการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน จากสถานการณ์วิกฤติโควิด ที่ส่งผลกระทบให้แรงงานหญิง ต้องเผชิญการถูกเลิกจ้าง ถูกลอยแพ และการถูกละเมิดสิทธิทางเพศ ถูกเอารัดเอาเปรียบที่รุนแรงเพิ่มเป็นทวีคูณ ความล่าช้า ความยากลำบากในการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนเข้าไม่ถึง ทั้งช่องว่างของกฎหมายทำให้สูญเสียสิทธิและขาดโอกาสในการทำงานที่มั่นคง ยั่งยืน ไร้หลักประกัน  ไร้ความเป็นธรรมส่งผลกระทบถึงคุณภาพชีวิตทั้งตนเองครอบครัวอย่างรุนแรง รวมทั้งส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ 

สสรท. และ สรส. จึงชูคำขวัญในการรณรงค์เช่นปีที่ผ่านมาว่า “หยุด ทุนนิยมสามานย์กดขี่แรงงาน-หญิง” เพื่อสะท้อนสภาพปัญหาดังกล่าว และข้อเรียกร้องในวันสตรีสากล ให้เกิดขึ้น สสรท. และ สรส. จึงขอเสนอข้อเรียกร้องเนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 ดังนี้

1. รัฐต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับแม่และเด็กทุกคนเพื่อส่งเสริมการมีบุตร เพิ่มอัตราการเกิดเด็กที่มีคุณภาพเข้าถึงรัฐสวัสดิการด้านสุขภาพเด็กตั้งแต่แรกเกิดอย่างเป็นรูปธรรมและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียม เพราะการลงทุนกับเด็ก คือ การลงทุน อนาคตชาติ

2. รัฐต้องปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อเป็นหลักประกันให้แก่ผู้ประกันตนและคนทำงาน 

  • จัดตั้งธนาคารแรงงาน 
  • สร้างโรงพยาบาลประกันสังคม 
  • เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร จาก 1,000 บาท เป็น 1,200 บาท 
  • การใช้เงินประกันสังคมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์

3. ขอให้รัฐบาลไทย ลดขั้นตอนการขึ้นทะเบียน มติ ครม. 24 กันยายน 2567 เช่น การขึ้นทะเบียนต้องไม่เอารูปแบบ MOU ทุกขั้นตอนการขึ้นทะเบียนให้อยู่ในขั้นตอนของประเทศปลายทางเท่านั้น รัฐบาลไทยต้องไม่รับเงื่อนไขรัฐทางการพม่าเพื่อเรียกเก็บภาษีจากแรงงานในประเทศปลายทาง

4. รัฐต้องยกเลิกการจ้างงานที่ไม่มั่นคง เช่น สัญญาจ้างชั่วคราว เหมางาน เหมาค่าแรง รายวัน รายชั่วโมง ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน โดยรัฐต้องสนับสนุนการจ้างงานระยะยาวเพื่อเป็นหลักประกันให้แก่คนทำงาน  

รวมถึงข้อติดตามดังนี้

1. รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับต่าง ๆ ดังนี้

  • ฉบับที่ 177 ว่าด้วยงานที่รับไปทำที่บ้าน
  • ฉบับที่ 183   ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิความเป็นมารดา ตามหลักสากล
  • ฉบับที่ 189  ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้าน 
  • ฉบับที่ 190  ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน
  • ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว
  • ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วม
  • ฉบับที 155  ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำงาน ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524)

2. รัฐต้องกำหนดให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 180 วัน และให้ผู้ชายลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างตามที่จ่ายจริง 100% และให้เร่งรัดการจ่ายค่าจ้างวันลาคลอด 98 วันตามมติ ครม. ที่เห็นชอบให้ครบถ้วน 

3. รัฐต้องกำหนดมาตรการเพื่อขจัดการละเมิดสิทธิแรงงานทุกรูปแบบ รวมถึงหามาตรการ ปกป้อง คุ้มครอง และเยียวยา เพื่อสร้างความมั่นคงในการทำงานและเข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมให้เป็นไปตามหลักการการดำเนินธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGP) ที่รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบัน

4. รัฐต้องให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปีเดือนละ 3,000 บาท

5. รัฐต้องกำหนดสัดส่วนหญิง ชาย และเพศสภาพ ในการตัดสินใจของคณะกรรมการทุกมิติ ทุกระดับ อย่างน้อย 1 ใน 3 เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม 

6. รัฐต้องกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันหยุดตามประเพณี

7. รัฐต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ ให้เป็นไปตามหลักการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ให้สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

8. รัฐต้องให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าถึงสิทธิประกันสังคม มาตรา 33 เพื่อที่จะได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองเช่นเดียวกัน

9. รัฐต้องรับร่างพระราชบัญญัติ อากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ (ฉบับประชาชน) พ.ศ. .… 

ทั้งนี้ เมื่อขบวนเดินทางถึงหน้ากระทรวงศึกษาธิการ มีตัวแทนสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับข้อเรียกร้องจากภาคประชาชน ก่อนยกเลิกการจัดกิจกรรม

‘วันสตรีสากล’ นายกฯ ยกย่องบทบาทสตรี ย้ำ ผลักดันความเสมอภาคทางเพศ แก้กฎหมายเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ

ในวันเดียวกัน แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวคำปราศรัยเนื่องในโอกาส “วันสตรีสากล” ประจำปี 2568 เพื่อเฉลิมฉลอง และรำลึกถึงการต่อสู้ของผู้หญิงต่อการเลือกปฏิบัติเพื่อให้ได้ สิทธิ โอกาส ความเท่าเทียม และความยุติธรรม ประเทศไทย เป็น 1 ใน 60 ประเทศทั่วโลก และ 1 ใน 10 ประเทศเอเชีย ที่เคยมีผู้นำสูงสุดของประเทศเป็นผู้หญิง และประเทศไทย ยังมีสัดส่วนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO เป็นผู้หญิง สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกซึ่งสะท้อนว่า สังคมไทยให้พื้นที่กับผู้หญิงอย่างเท่าเทียม แสดงถึงความเชื่อมั่นว่าผู้หญิงทุกคนสามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำได้ในทุกเวทีทุกระดับ สามารถเป็นทุกอาชีพ สามารถทำตามความฝันที่ตัวเองต้องการ และสามารถรับทุกโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน โดยที่ความเป็นผู้หญิงไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางอีกต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคม และสร้างโอกาสให้ผู้หญิงไทยจนมาถึงวันนี้ แต่สังคมไทย ยังต้องต่อสู้กับอคติทางเพศในอีกหลายประเด็น ทั้งความรุนแรงที่มาจากความเกลียดชังต่อผู้หญิง ความคาดหวังที่มีต่อผู้หญิงในกรอบวิธีคิดชายเป็นใหญ่ การถูกจับจ้องเรื่องส่วนตัวและเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าความสามารถ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และ อีกหลายประเด็นที่เราทุกคนต้องร่วมกันต่อสู้ เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ของผู้หญิงทุกคน เป็นพื้นที่ของคนทุกเพศ

พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจะผลักดันนโยบายความเสมอภาคทางเพศอย่างเต็มความสามารถ ทั้งในระดับครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถานประกอบการ ทั้งการแก้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ การขจัดความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการพัฒนานโยบายที่เอื้อต่อการทำงานของผู้หญิง 

“รัฐบาลจะพัฒนานโยบายการขยายวันลาหลังคลอด การทำให้ผู้ปกครองเข้าถึงสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพ อีกทั้งจะดำเนินการสานต่อนโยบาย กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำ สร้างโอกาสให้ผู้หญิงเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมศักยภาพของเครือข่ายสตรี รวมทั้งพิทักษ์สิทธิของผู้หญิงและผู้ด้อยโอกาสในสังคม”

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ นายกฯ ยังแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องในวันสตรีสากลประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด 3 ทศวรรษปฏิญญาปักกิ่ง : โอกาสและความท้าทายสู่ความเสมอภาคของสตรีและเด็กหญิง ทุกคนถือเป็นแบบอย่างแห่งความมุ่งมั่น ทุ่มเททำงานเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active