ส่องชีวิตบนทางสองแพร่ง แรงงานหญิงนอกระบบ ไรเดอร์หญิง หญิงชาติพันธุ์ ย้ำ ปมความไม่แน่นอนในอาชีพ ถูกกดขี่ เลือกปฏิบัติ มองไม่เห็นโอกาส รับสิทธิ ความเท่าเทียม ย้ำ สวัสดิการเด็ก ผู้หญิงคนทำงาน หากไม่ลงทุนตั้งแต่วันนี้ หวั่นก่อผลเชิงลบต่อสังคมในอนาคต
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 68 สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีในพระอุปถัมภ์ ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดเวทีเสวนา วาระวันสตรีสากล นโยบายเศรษฐกิจของรัฐ : ทิ้งผู้หญิงคนทำงานและเด็กไว้ข้างหลัง โดยได้นำเสนอปัญหา และข้อเสนอของแรงงานผู้หญิง ใน 7 ประเด็น ได้แก่
- นโยบายเศรษฐกิจของรัฐ : ทิ้งผู้หญิงคนทำงานและเด็กไว้ข้างหลัง
- ทางสองแพร่งที่ต้องแลกของผู้หญิงคนทำงาน “งานหรือครอบครัว”
- ผู้หญิงคนทำงานนอกระบบและทำงานบ้าน คนไร้อำนาจที่ค้ำจุนสังคม
- ผู้หญิงคนทำงานที่ถูกเลือกปฏิบัติ
- ผู้หญิงคนทำงานที่เป็นแรงงานข้ามชาติ
- การไม่ลงทุนกับเด็ก-คนในอนาคตวันนี้ คือ ลางร้ายของสังคมไทย
- ผู้หญิงคนทำงานกับการเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม

‘ผู้หญิง’ บนทางสองแพร่ง
อภันตรี เจริญศักดิ์ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) ให้ความเห็นว่า ตอนนี้ผู้หญิงต้องยืนอยู่บนทางสองแพร่งเสมอ ระหว่างการเติบโตในหน้าที่การงาน หรือ การดูแลครอบครัว โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ที่แรงงานหญิงมีอัตราการจ้างงานน้อยกว่าชาย 10-20% และมีอัตราถูกเลิกจ้างเยอะกว่า
“อายุ 30-40 ปี ก็ถูกเลิกจ้างแล้ว เพราะบริษัทนิยมจ้างแบบ subcontract หรือ เหมาบริการ มาจากนโยบายของรัฐเอื้อนายทุน ซึ่งรัฐไม่ได้ตอบโจทย์ให้เราสามารถมีครอบครัว มีลูก พร้อมกับการงานที่มีเกียรติ มีคุณค่า ศักดิ์ศรีได้เลย”
อภันตรี เจริญศักดิ์
อภันตรี อธิบายว่า หากวันนี้รัฐยังไม่สามารสร้างสังคมที่เอื้อต่อการสร้างครอบครัวได้ แล้วประเทศไทยจะมีแรงงานไว้ขับเคลื่อนประเทศได้อย่างไรในอีก 30 ปีข้างหน้า ที่ไทยกำลังจะเป็นสังคมสูงวัยสุดยอด
ประกันสังคม ม.33 ความมั่นคงในอาชีพที่ ‘แรงงานนอกระบบ’ เรียกหา
เช่นเดียวกันกับ ผู้หญิงที่มีอาชีพแม่บ้าน ซึ่งถือเป็นแรงงานนอกระบบที่ไร้อำนาจ แต่กลับเป็นฟันเฟืองสำคัญในการค้ำจุนสังคม กัญญภา ประสพสุข เครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย อธิบายว่า อาชีพแม่บ้านหรือลูกจ้างที่ทำงานในบ้านนั้น ต้องทำงานหนักควบหลายสิบชั่วโมง ไม่มีวันหยุด วันลา และค่าล่วงเวลา มีโอกาสถูกเลิกจ้างได้ตลอดเวลา แต่กลับไม่เคยได้รับการคุ้มครองหรือเงินชดเชยใด ๆ เนื่องจากเป็นแรงงานนอกระบบ หากได้อยู่ในการคุ้มครองประกันสังคม ม.33 จะทำให้รู้สึกมั่นคงและเป็นธรรมมากกว่านี้
“อาชีพเรามีความสุ่มเสี่ยง มีโอกาสถูกทำร้ายและทารุณได้ง่าย เราอยากได้รับการดูแลเหมือนแรงงานในระบบ เราต้องการเข้าประกันสังคม ม.33 แต่ตอนนนี้ ภาครัฐทำให้เราอยู่ใน ม.40 ทั้ง ๆ ที่เรามีนายจ้างที่ควรจะร่วมจ่ายเพื่อสวัสดิการลูกจ้างทำงานบ้าน”
กัญญภา ประสพสุข
สอดคล้องกับ กชพร กลักทองคำ สมาพันธ์แรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) ที่เห็นสอดคล้องว่า ประกันสังคม ม.40 ไม่ได้ครอบคลุมเพียงพอ และมองว่า โครงสร้างและนโยบายของรัฐมองแต่ความมั่นคงของนายทุนเท่านั้น แรงงานนอกระบบควรมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วม และได้รับความช่วยเหลือให้มั่นคงยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการสงเคราะห์เหมือนทุกวันนี้

ชีวิต ‘ไรเดอร์’ กับวาทกรรม ‘พาร์ตเนอร์’ ที่ไม่มีอยู่จริง
อีกหนึ่งในแรงงานนอกระบบที่อยู่ในความเสี่ยงและไร้หลักประกันคือ ไรเดอร์ โดยมีการเปิดเผยว่า ธุรกิจไรเดอร์ เจ้าหนึ่งมีมูลค่าทางธุรกิจในวจรสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของ GDP แต่พนักงานที่อยู่ในสถานะไรเดอร์ กลับถูกละเลยจากแพลทฟอร์มรวมทั้งรัฐด้วย
สุภาภรณ์ พันธ์ประสิทธิ์ คือ ไรเดอร์หญิง จากกลุ่ม Riders Center Collective เล่าว่า ไรเดอร์ไม่มีสวัสดิการสังคมใด ๆ เนื่องจากรัฐนับเป็นแรงงานนอกระบบ ทั้ง ๆ ที่เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง มีพี่น้องร่วมอาชีพหลายรายต้องเกิดอุบัติเหตุ พิการ และเสียชีวิตโดยไร้การเยียวยาที่เป็นธรรม
“พวกเราไม่เคยได้รับการดูแลจากแพลทฟอร์มเลย ได้รับเพียงค่าจ้างที่เรียกว่า ค่ารอบ ซึ่งน้อยลงเรื่อย ๆ โดยไม่มีกองทุนทดแทนทั้ง ๆ ที่เรามีนายจ้างตัวเป็น ๆ และไร้สิทธิ ไร้เสียง ไร้อำนาจต่อรอง จึงต้องการเข้าสิทธิประกันสังคม ม.33 เพื่อรับการดูแล เราไม่มีสวัสดิการสังคม เพราะรัฐถีบเราออกจากการเป็นลูกจ้าง สร้างวาทกรรมใหม่มาหลอกลวงเราว่าเป็นแรงงาน (กึ่ง)อิสระ และที่สวยไปกว่านั้นคือ วาทกรรมที่บอกว่าเราเป็น พาร์ตเนอร์ ของแพลตฟอร์ม แบบนี้ไม่ใช่แค่เรียกว่าทิ้งเราไว้ข้างหลัง แต่เรียกว่าจับเราโยนลงเหวก็ว่าได้”
สุภาภรณ์ พันธ์ประสิทธิ์
‘หญิงชาติพันธุ์’ ท่ามกลางการเลือกปฏิบัติ ไม่เท่าเทียม
ในขณะที่ มึนอ – พิณนภา พฤกษาพรรณ เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย สะท้อนว่า ความไม่เท่าเทียมนี้เกิดตั้งแต่ระดับทัศนคติที่มองเห็นคนไม่เท่าเทียมกัน
“เราเป็นชาติพันธ์ุ เคยได้ยินคนพูดถึงเราว่าเป็นพวกมาขออาศัยประเทศไทยอยู่ แล้วทำไมยังมาเรียกร้องสิทธิให้เท่ากับคนไทยอีก ตอนแรกไม่รู้สึกอะไร แต่พอมีคดีสามีโดนอุ้มหาย เราออกมาเรียกร้องสิทธิตัวเอง แต่ก็รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่เขาปฏิบัติกับเราไม่เหมือนคนอื่น”
พิณนภา พฤกษาพรรณ
มึนอ เล่าไปถึงการถูกเลือกปฏิบัติที่เริ่มมาจากความมีอคติในใจของคนจนกระทั่งกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพตามกฎหมาย จนไปถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
“เราเคยพาญาติที่ตั้งครรภ์ไปที่ศาลตอนที่มีคดีเกียวกับ พ.ร.บ.ป่าไม้ แต่เจ้าหน้าที่พูดกับพวกเราว่า ทำไมพวกเราปล่อยให้มีลูกเยอะแล้วออกมาเป็นภาระสังคม… มันทำให้เรารู้สึกว่าการเป็นชาติพันธ์ุทำให้คนมองว่าเราไม่เท่าเทียมแล้วจะทำอะไรกับพวกเราก็ได้”
พิณนภา พฤกษาพรรณ
ย้ำข้อเสนอ ‘สวัสดิการเด็ก – ผู้หญิงคนทำงาน’
ขณะที่ สุนี ไชยรส คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายเด็กเล็กถ้วนหน้า ชี้ว่า รากฐานของการสร้างคน ไม่เพียงแค่เรื่องความเท่าเทียม แต่ต้องเริ่มที่การลงทุนกับเด็ก และหากไม่ทำตั้งแต่วันนี้ จะส่งผลเชิงลบกับสังคมในอนาคตแน่นอน จึงมีข้อเสนอสวัสดิการเด็กเล็ก (และผู้หญิงคนทำงาน) 3 ข้อ ดังนี้
- เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 3,000 บาท ต่อเดือน 0-6 ปีบริบูรณ์
- เงินอุดหนุนหญิงตั้งครรภ์ เดือน 5-9 ถ้วนหน้า เดือนละ 3,000 บาท
- รัฐต้องสนับสนุนเลี้ยงดูและพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กเล็กอย่างถ้วนหน้า 6 เดือน – 6 ปี (รวมถึงเด็กทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินไทย)

ลงทุนกับแม่และเด็กในไทย ฝันที่ยังอีกไกล ?
ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้ความเห็นว่า การขับเคลื่อนเรื่องการลงทุนกับแม่และเด็กในไทยเป็นเรื่องยากลำบาก ต่างกับฝั่งยุโรปที่มีแนวคิดกับเรื่องสวัสดิการแม่และเด็กที่ต่างจากประเทศไทย
“ในยุโรป เวลาผู้หญิงลาไปคลอด เขาไม่ได้คิดว่าผู้หญิงคนนั้นขาดงาน แต่กำลังไปทำอีกงานอยู่ต่างหาก และยังได้เงินเดือน 70% ตลอด 3 ปี เพื่อเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ หลังจากนั้นยังกลับมาทงานในตำแหน่งเดิมได้ด้วย เขามองว่านี่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องเสีย แต่คือการลงทุนซึ่งเป็นวิธีคิดที่ห่างไกลจากบ้านเรามาก เราอาจต้องต่อสู้กันไปอีกสักพักใหญ่ เพื่อให้เห็นภาพว่า การที่ผู้หญิงคนหนึ่งไปลาคลอด พวกเธอไม่ได้กำลังไปทำเรื่องส่วนตัว แต่กำลังทำอีกงานหนึ่งซึ่งสำคัญต่อประเทศชาติอยู่ต่างหาก”
ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

สำหรับที่มาที่ไปของ วันสตรีสากล ต้องย้อนไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่เกิดการลุกฮือของกรรมกรหญิงโรงงานทอผ้า ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเธอต้องเผชิญกับการเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ ทารุณของนายจ้างที่ใช้แรงงานเยี่ยงทาส จนเจ็บป่วยล้มตาย พวกเธอขอให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิ การต่อสู้ดำเนินมาสู่การเรียกร้องลดเวลาทำงานเหลือ 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้รับสวัสดิการ และการออกเสียงเลือกตั้งได้สำเร็จ ต่อมาจึงได้ประกาศให้ วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันสตรีสากล
สำหรับประเทศไทยแล้วกรอบหลักการของประเทศเกี่ยวกับสิทธิสตรี และความเสมอภาคระหว่างเพศ ได้ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 จนถึงฉบับปี 2560 โดยเน้นย้ำ ความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิของเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ยากไร้
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 67 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมชายหญิง ไม่เผชิญกับการเลือกปฏิบัติ สามารถเป็นแม่และเติบโตในหน้าที่การงานได้เช่นเดียวกับเพศชาย
แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ ยังพบความเหลื่อมล้ำ และไม่เท่าเทียมกันของแรงงานสตรี แรงงานนอกระบบ คนพิการ ชาติพันธ์ุ และกลุ่มเปราะบางอีกมากในประเทศไทยที่ยังรอวันแก้ไข